Thierry Henry
"ห้อย" เหนือธรรมชาติ |
เธียร์รี่ อองรี สุดยอดดาวยิงแดนน้ำหอม
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : เธียร์รี่ ดาเนี่ยล อองรี
วันเกิด : 17 สิงหาคม 1977 (อายุ 30 ปี)
สถานที่เกิด : เลส อูลิส, เอสซองเน่, ฝรั่งเศส
ส่วนสูง : 1.88 เมตร (6 ฟุต 2 นิ้ว)
ตำแหน่ง : กองหน้า, ปีก
สโมสรปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า
ทีมชาติ : ฝรั่งเศส
ประวัติความเป็นมา
เธียร์รี่ อองรี หรือชื่อเต็มว่า “เธียร์รี่ ดาเนี่ยล อองรี” นักฟุตบอลชื่อดัง
เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม
ปี 1977 ที่กรุงปารีส
ประเทศ ฝรั่งเศส ปัจจุบัน ค้าแข้งอยู่กับสโมสร บาร์เซโลน่า ยอดทีมในศึกลา ลีกา
สเปน โดยเขาเล่นในตำแหน่งกองหน้า รวมถึงยังสามารถโยกไปเล่นในตำแหน่งปีกได้อีกด้วย
อาจได้กว่า ชื่อของ อองรี ได้รับการยกย่องว่าเป็นดาวเตะฝีเท้าระดับพระกาฬ
ที่โดดเด่นในการจบสกอร์ และการสร้างสรรค์เกมรุกที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ในวงการลูกหนังปัจจุบัน
ชีวิตวัยเด็ก
อองรี เกิดและเติบโตที่ Les
Ulis ซึ่งอยู่แถบชานเมืองกรุงปารีส
พอเขาอายุ 7 ปี
อองรีก็ฉายแววความเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยม จนทำให้ถูกดึงตัวไปร่วมทีมฟุตบอลท้องถิ่นที่ชื่อว่า
Les Ulis ก่อนที่ในปี
1989 เขาจะย้ายไปร่วมทีม
US Palaiseau แต่หลังนั้น 1 ปี
พ่อของเขาก็มีปากเสียงกับสโมสร ส่งผลให้ อองรี ต้องย้ายไปร่วมทีม Viry-Châtillon
เป็นเวลา 2 ปี
เริ่มต้นชีวิตค้าแข้ง
1992-1999
: โมนาโก
อองรี เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างจริงๆ
จังๆ ด้วยการเป็นนักเรียนลูกหนังของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ที่ แกร์ฟ็องแตง
ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ผลิตนักฟุตบอลชั้นดีขึ้นมาสู่วงการฟุตบอลฝรั่งเศส มากมายหลายคน
หลังจากผ่านการฝึกปรือฝีเท้าในสถาบันชั้นยอดมาแล้ว อองรี ก็ลงเล่นให้กับทีมระดับเยาวชนมา
4 ทีม
ก่อนจะเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอย่างจริงๆจัง กับ โมนาโก ทีมดังของแดนน้ำหอมนั่นเอง
และได้ลงสนามตั้งแต่อายุ 17 ปี
โดยในตอนนั้น โมนาโก มี อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นกุนซือ และ ฤดูกาลแรกของเขากับ
โมนาโก อองรี ซึ่งถูกจับให้เล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ยิงไป 3 ประตู จากการลงเล่น 18 นัด
ในปี 1996 อองรี
ได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งฝรั่งเศสยอดเยี่ยมแห่งปี และในฤดูกาล 1996-1997
เขาก็โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมจนพาทีม
โมนาโก คว้าแชมป์ลีกเอิงมาครองได้สำเร็จ ต่อมาในฤดูกาล 1997-1998
เขาก็สามารถพาทีมผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ
ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ พร้อมกับทำสถิติเป็นนักฟุตบอลฝรั่งเศส
ที่ยิงประตูได้มากที่สุดของการแข่งขัน โดยทำไป 7 ประตู ถัดมาในฤดูกาลที่ 3 ของเขากับโมนาโก อองรี
ถูกเรียกติดทีมชาติฝรั่งเศสครั้งแรก
และเขายังมีส่วนร่วมในทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก ปี 1998
อีกด้วย หลังจากนั้นอีก 2 ฤดูกาลต่อมา อองรี
ก็ยังคงทำผลงานให้กับ โมนาโกได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่ในที่สุด เขาจะย้ายออกจากทีม
ในเดือนมกราคม ปี 1999
1999
: ยูเวนตุส
จากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก 1998
ทำให้ อองรี ถูก ยูเวนตุส
ทีมมหาอำนาจของอิตาลี คว้าตัวไปร่วมทีม ในเดือนมกราคม ปี 1999
โดยจ่ายค่าตัวให้กับ โมนาโก
เป็นจำนวน 10.5 ล้านปอนด์
(ประมาณ 693 ล้านบาท)
แต่ที่ ยูเวนตุส เขาถูกจับไปเล่นในตำแหน่งปีก ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งถนัดของเขา ทำให้
อองรี โชว์ฟอร์มไม่ค่อยออก และทำได้ 3 ประตู เท่านั้น จากการลงสนามเป็นตัวจริง 16 นัด
1999-2007
: อาร์เซน่อล
หลังจากที่ อองรี ผิดหวังกับชีวิตค้าแข้งในอิตาลี
เขาก็มีโอกาสกลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง เมื่อ อาร์เซน่อล ที่มี เวนเกอร์
อดีตเจ้านายเก่าของเขาที่โมนาโก เป็นกุนซืออยู่ ตัดสินใจเสี่ยงทุ่มเงิน 10.5
ล้านปอนด์ (ประมาณ 693 ล้านบาท) กระชากตัว อองรี
มาสู่ทีม “ปืนใหญ่” ในเดือนสิงหาคม ปี 1999
กล่าวได้ว่า ในการย้ายมาเล่นให้กับอาร์เซน่อล นั้น
อองรี ได้กลับมาเป็นกองหน้าตัวเป้า และนั่นก็ทำให้เขาค่อยๆ
กลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง โดยเพียงฤดูกาลแรกในเกาะอังกฤษ เขาก็สามารถยิงประตูได้ถึง
26 ลูก
รวมทุกรายการ พร้อมกับช่วยให้ อาร์เซน่อล ได้อันดับ 2 ของศึกพรีเมียร์ รองจาก
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นแชมป์ในปีนั้น รวมถึงรองแชมป์ ยูฟ่า คัพ ซึ่ง
อาร์เซน่อล ไปพ่ายให้กับ กาลาตาซาราย ในรอบชิงชนะเลิศ
หลังกลับมาจากชัยชนะกับทีมชาติฝรั่งเศส
ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ “ยูโร 2000” ที่ประเทศ เบลเยี่ยม และ ฮอลแลนด์ ฤดูกาลที่ 2 ของอองรีกับอาร์เซน่อล (2000-2001)
ก็เป็นไปอย่างสวยหรู
โดยเขากลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดประจำทีม และขุนพล “เดอะกันเนอร์ส” ก็กลายเป็น 1 ในทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดในลีกพรีเมียร์ชิพ
แม้ว่าในปีนี้ เขาจะยังไม่สามารถพาทีมคว้าถ้วยรางวัลใดๆ ได้เลยก็ตาม
ในที่สุด ความสำเร็จก็มาถึงทีมอาร์เซน่อล
เมื่อในฤดูกาล 2001-2002 อองรี
มีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมประกาศศักดาความแชมป์พรีเมียร์ชิพ มาครองได้สำเร็จ
โดยทำคะแนนนำห่าง ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 2 ถึง 7 คะแนน รวมถึงคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ
มาครองได้อีกหนึ่งใบ หลังเอาชนะ เชลซี มาได้ 2-0 ในนัดชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ อองรี
ก็ยังกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดในลีกของฤดูกาลนั้น อีกด้วย ด้วยผลงานซัดไปถึง 32 ประตู ในทุกรายการ ส่งผลให้
อาร์เซน่อล สามารถคว้ามดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
เข้าสู่ฤดูกาล 2002-2003 แม้จะต้องเสียแชมป์ลีกให้กับ
แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ อองรี ก็ยังสามารถพาอาร์เซน่อล ได้แชมป์เอฟเอ คัพ อีกครั้ง
และเขาก็ทำประตูไปถึง 42 ลูก
จากทุกรายการที่ลงแข่งขัน ส่งผลให้ในที่สุด อองรี ก็คว้าแชมป์นักฟุตบอลอาชีพยอดเยี่ยมแห่งปีของ
สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) และ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี จากสมาคมนักข่าวกีฬา
มาครองได้สำเร็จ รวมถึงรองแชมป์รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกประจำปี 2003
อีกด้วย
ในฤดูกาล 2003-2004 อองรี พา อาร์เซน่อล
กลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง ก่อนจะมาได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมในช่วงฤดูร้อนปี
2005 หลังจากที่
ปาทริค วิเอร่า กัปตันทีมคนเก่า ย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส และซีซั่นนี้ อองรี
ก็กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้กับอาร์เซน่อล
ได้มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร หลังจากที่ยิง 2 ประตู ในนัดที่ อาร์เซน่อล
เอาชนะ สปาร์ต้า ปราก ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ปี 2005
ทำให้ อองรี
ยิงประตูแซงสถิติเดิม 185 ประตู
ของ เอียน ไรท์ ได้แล้ว
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2006 เป็นอีก 1 วันประวัติศาสตร์ของ อองรี และ อาร์เซน่อล
เมื่อเขายิงประตู เวสต์แฮม ได้ ในศึกพรีเมียร์ลีก ทำให้สร้างสถิติยิงประตูในลีก
ให้กับ อาร์เซน่อล ได้ 151 ประตู
ทำลายสถิติเดิมของ คลิฟฟ์ บาสติน ลงได้
นอกจากจะยิงประตูได้ยอดเยี่ยมแล้ว อองรี
ยังผ่านบอลได้แม่นยำ และเฉียบคมด้วย โดยในฤดูกาล 2002-2003 อองรี
จ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ 23 ครั้ง เป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก
ในฤดูกาล 2005-2006 อาร์เซน่อล
อาจจะทำผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้ตกต่ำลงไป โดยได้เพียงอันดับ 4 แต่ อองรี ก็พา “ปืนใหญ่” เข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรก ก่อนจะพ่าย บาร์เซโลน่า ไปแบบน่าเสียดาย
ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าเขาอาจจะย้ายไปร่วมทีม บาร์เซโลน่า อีกด้วย
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว อองรี
ก็ตกลงต่อสัญญาฉบับใหม่เพื่ออยู่ช่วย อาร์เซน่อล ต่อไป อีก 4 ปี โดยที่ เดวิด ดีน
ประธานสโมสร “ปืนใหญ่” เผยว่ามีสโมสรหนึ่งในยุโรป
เสนอเงิน 50 ล้านปอนด์
(3,300 ล้านบาท)
เพื่อขอซื่อตัว อองรี ไปจาก อาร์เซน่อล แต่เขาก็ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไป
มิเช่นนั้นแล้ว อองรี จะกลายเป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก
ทำลายสถิติเดิมตอนที่ ซีเนอดีน ซีดาน ย้ายจาก ยูเวนตุส มาร่วมทีม รีล มาดริด
เมื่อปี 2001 ด้วยค่าตัว
47 ล้านปอนด์
(ประมาณ 3,102 ล้านบาท)
ลงได้
ฤดูกาล 2006-2007 อองรี
ต้องเจออาการบาดเจ็บรุมเร้า แต่เขาก็ยังยิงประตูได้ 10 ลูก จากการลงเล่น 17 นัดในเกมลีก และ อองรี
ก็ต้องชวดลงสนามให้กับอาร์เซน่อลไปตั้งแน่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์
เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย, เท้า และ หลัง รบกวน
ก่อนที่เขาจะกลับมาฟิตทันลงเล่นเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ พีเอสวี
ไอนด์โฮเฟ่น ในฐานะตัวสำรอง แต่เขาก็ต้องกระโผลกกระเผลกออกจากสนามไปอีกครั้ง
ซึ่งอาการบาดเจ็บครั้งส่งให้เขาต้องพักยาวไปอีกอย่างน้อยถึง 3 เดือนเลยทีเดียว
ซึ่งหมายความว่า ฤดูกาลนี้ของเขาได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการแล้ว
หลังจากตกเป็นข่าวย้ายออกจากถิ่น เอมิเรตส์
สเตเดี้ยม มาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด อองรี ก็ย้ายไปร่วมทีม บาร์เซโลน่า ในวันที่ 25 มิถุนายน ปี 2007
ในราคา 24 ล้านยูโร (ราว 1,272
ล้านบาท)
ด้วยสัญญาค้าแข้งระยะเวลา 4 ปี
พร้อมรับค่าเหนื่อยกว่า 6.8 ล้านยูโร
(ประมาณ 360.4 ล้านบาท)
ต่อปี
2007-ปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า
ที่ บาร์เซโลน่า อองรี ยังได้รับมอบหมายเบอร์ 14 เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ค้าแข้งอยู่กับ
อาร์เซน่อล โดยเขาสามารถยิงประตูแรกในนามทีม "เจ้าบุญทุ่ม" ในวันที่ 19 กันยายน 2007
ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ที่ชนะเอาชนะ ลียง 3-0 ต่อมาในวันที่
29 กันยายน 2007
อองรี
ก็จัดการซัดแฮตทริคแรกของเขาบนแผ่นดินสเปน ในเกมที่พบกับ เลบันเต้ ในศึกลาลีกา
อย่างไรก็ตาม อองรี ก็ถูกจับให้ไปเล่นเป็นตำแหน่งปีกเกือบทั้งตลอดซีซั่น
ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถรีดฟอร์มสุดยอดออกมาได้เหมือนตอนที่อยู่กับ
"เดอะกันเนอร์ส" อย่างไรก็ตาม เมื่อจบฤดูกาล อองรี
ก็เป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม ด้วยผลงานยิงไป 19 ประตูในทุกรายการ นำหน้า ซามูเอล เอโต้ (18 ลูก) และ ลีโอเนล เมสซี่ (16 ลูก) แต่ทว่า อองรี
ก็ต้องปิดฉากฤดูกาลแบบมือเปล่าเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว ที่บาร์ซ่า ไม่อาจมีถ้วยมาประดับสโมสรได้
เป็นผลให้แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ต้องประเด็นออกจากทีม
จากการเข้ามาคุมทีมของ โจเซป กวาดิโอลาร์
อดีตเด็กเก่าของสโมสรเจ้าบุญทุ่ม ซึ่งเทิร์นโปรรับหน้าที่โค้ทเป็นครั้งแรก
และมีผลงานไม่ค่อยดีนักใน 5-6 นัดแรก
แต่หลังจากนั้น บาร์เซโลนาก็ระเบิดฟอร์มกระจาย!!! ด้วยผลงานคุมทีม 96 นัด ชนะไปถึง 67
!!! เฉพาะในลีก 38 นัด ได้ 87 คะแนน
ทำคะแนนทิ้งห่างที่สองอย่างคู่รักคู่แค้น เรอัล มาดริดถึง 9 แต้ม
คว้าแชมป์ตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล
ยังไม่พอ เป้าหมายของอองรี
ที่เจ้าตัวเฝ้ารอมาเป็นเวลานาน ก็บรรลุผลสำเร็จสักที เมื่อทีมบาร์เซโลนา คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก
ที่ตั้งแต่เป็นนักฟุตบอลอาชีพมายันอายุเลย 30 อองรียังไม่เคยสัมผัสเลยสักครั้ง
พอบวกกับแชมป์โคปปาเดลเรย์ด้วย ทำให้การคว้าแชมป์คร้งแรกกับบาร์เซโลนา
เป็นการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ถือเป็นฤดูดาลที่เปี่ยมสุขของอองรี!!!
ถึงแม้จะได้ลงไม่มากนักบวกกับอายุที่มากขึ้น
แต่อองรีก็ยังคงมีความคมอยู่ เห็นได้จากการลงสนาม ฤดูกาล 2008/09
ทั้งสิ้น 89 นัด ยิงได้ 45 จ่ายให้ยิงอีก 23 ประตู แม้วัยจะล่วงเลยแล้ว
เขายังคงเป็นเพชรฆาตแดนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ทีมชาติฝรั่งเศส
ด้วยฝีเท้าที่ฉกาจฉกรรจ์เกินวัย ทำให้ อองรี
ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติฝรั่งเศส และลงสนามให้ทีม “ตราไก่” เป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1997 ในนัดที่พบกับ
แอฟริกาใต้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น 4 เดือน อองรี
ลงเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศสชุดอายุไม่เกิน 21 ปี และพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลก
มาครองได้สำเร็จ
ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ อองรี
ถูกเรียกตัวไปติดทีม “ตราไก่” ด้วย เช่นเดียวกับ ดาวิด
เทรเซเก้ต์ เพื่อนคู่หูของเขาในทีมโมนาโก และเขาก็ช่วยพาทีมชาติฝรั่งเศส
คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก มาครองได้เป็นครั้งแรก ด้วยการเอาชนะ บราซิล ในรอบชิงชนะเลิศ
โดยที่เขายิงได้ 3 ประตู
ในการแข่งขันครั้งนั้น
หลังจากนั้น อองรี ก็พาทีมชาติฝรั่งเศส
ไปคว้าแชมป์ยูโร 2000 ที่
ฮอลแลนด์ กับ เบลเยี่ยม รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ด้วยการเอาชนะ อิตาลี
ในรอบชิงชนะเลิศ แต่ในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ฝรั่งเศส กลับกระเด็นตกรอบแรกไปอย่างพลิกความคาดหมาย
อย่างไรก็ดี อองรี ก็สามารถพาทีม “ตราไก่” คว้าแชมป์ฟุตบอลคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ปี 2003
ได้สำเร็จ
โดยที่เขาเป็นดาวซัลโว และนักเตะยอดเยี่ยมของการแข่งขัน อีกด้วย
ในยูโร ปี 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส อองรี พาทีมชาติฝรั่งเศส
เข้าถึงเพียงรอบก่อนรองชนะเลิศ เท่านั้น หลังปราชัยให้กับ กรีซ 0-1 พอเข้าสู่ฟุตบอลโลกปี 2006
ที่ประเทศ เยอรมัน อองรี
ก็สามารถพาทีม “ตราไก่” ประสบความสำเร็จ
ได้ไกลถึงนัดชิงชนะเลิศ โดยไปพบกับ อิตาลี ก่อนที่จะแพ้ลูกจุดโทษไปอย่างน่าเสียดาย
3-5 แต่จบทัวร์นาเม้นต์
อองรี ก็ได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดร่วม เป็นการปลอบใจ เช่นเดียวกับ
มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์นี้
วันที่ 13 มกราคม ปี 2007 อองรี ยิงประตูที่ 41 ในนามทีมชาติได้สำเร็จ
ในเกมยูโร รอบคัดเลือก ที่พบกับ หมู่เกาะแฟโร
ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลฝรั่งเศสที่ยิงประตูให้กับทีมชาติมากที่สุดตลอดกาล
เทียบเท่ากับ มิเชล พลาตินี่ อดีตดาวเตะระดับตำนานของทัพ “เลอ เบลอส์” และประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป
คนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อีก 4 วันถัดมา เขาก็จัดการเหมา 2 ประตู ในเกมที่พบกับ ลิทัวเนีย ในยูโร 2008
รอบคัดเลือก ส่งผลให้เขากลายเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูให้กับทีมชาติฝรั่งเศสมากสุดในประวัติศาสตร์
ทันที และในวันที่ 3 มิถุนายน
2008 อองรี
ก็ลงเล่นทีมชาติครบ 100 นัด
ในเกมที่พบกับ โคลอมเบีย ซึ่งเป็นนักเตะฝรั่งเศสคนที่ 6 ที่ทำได้อีกด้วย
เข้าสู่เกมยูโร 2008 รอบสุดท้าย ที่ประเทศ ออสเตรีย
และสวิตเซอร์แลนด์ อองรี พลาดลงเล่นเกมนัดเปิดสนามที่พบกับ โรมาเนีย
ก่อนที่จะกลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในนัดที่พบกับ ฮอลแลนด์ และ อิตาลี
ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการกระเด็นตกรอบแรกได้สำเร็จ
โดยเขาทำได้ 1 ประตูเท่านั้นในทัวร์นาเม้นต์นี้
จากเกมที่แพ้ ฮอลแลนด์ 4-1 ในนัดที่สอง รอบแบ่งกลุ่ม
สไตล์การเล่น
แม้ว่าสมัยยังเป็นเยาวชนดาวรุ่ง อองรี
จะเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า แต่เขาก็ได้ใช้เวลาการเล่นในตำแหน่งปีกให้กับ โมนาโก และ
ยูเวนตุส ไปไม่น้อยเหมือนกัน และเมื่ออองรี ย้ายมาร่วมทีม อาร์เซน่อล ในปี 1999
เวนเกอร์
กุนซือของทีมก็เปลี่ยนให้เขาไปเล่นในตำแหน่งกองหน้าอีกครั้ง โดยมักจะยืนคู่กับ
เดนิส เบิร์กแคมป์ อดีตกองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ ขณะที่ในระหว่างปี 2004-2005
เวนเกอร์ ได้ปรับมาให้
อองรี มาเล่นเป็นกองหน้าต้วเป้า ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้สถิติการยิงประตูของเขาลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
ทีเด็ดของ อองรี ในการเล่นเป็นกองหน้า ก็คือ
ความสามารถของเขาในการยิงประตูที่เฉียบขาด และค่อนข้างนิ่ง
โดยเฉพาะการเผชิญหน้าคู่ต่อสู้แบบตัวต่อตัว นอกจากนี้
เขายังสามารถฉีกไปเล่นเป็นปีกซ้าย พร้อมทั้งกระชากลากเลื้อยเข้ามาหาจังหวะสังไกได้เอง
หรือแม้กระทั่งเปิดให้เพื่อนทำประตูได้อย่างเหนือชั้น ไม่เพียงเท่านั้น อองรี
ยังมีจุดอันตรายอยู่ที่การยิงลูกฟรีคิก รวมถึง
เพชฌฆาตสังหารลูกจุดโทษได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
ชีวิตนอกสนาม
งานด้านสังคม
อองรี เป็นสามาชิกกลุ่มนักฟุตบอลฟีฟ่า ของ องค์การยูนิเซฟ
ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมนักฟุตบอลอาชีพเป็นพรีเซนเตอร์ในการโฆษณารณรงค์เกี่ยวกับฟุตบอลให้กับเด็กทั่วโลก
นอกจากนี้ เขายังเป็นแกนนำในการต่อต้านการเหยียดสีผิวในวงการลูกหนังโลกอีกด้วย
หลังจากที่ อองรี เคยตกเป็นเหยื่อของการเหยียดสีผิวมาแล้ว จากการให้สัมภาษณ์ของ
หลุยส์ อราโกเนส อีกอดีตเทรนเนอร์ทีมชาติสเปน ที่กล่าวถึง อองรี ว่าเป็น
"black shit" และอองรี ก็ได้เป็นพรีเซนเตอร์ ให้กับโครงการ Stand
Up Speak Up ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรณรงค์การเหยียดสีผิวในวงการฟุตบอลของไนกี้
อีกด้วย
งานด้านวงการโฆษณา
ในปี 2006 อองรี
ถือเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าทางการตลาดมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก
เช่นเดียวกับที่เป็นนักฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 8
ในพรีเมียร์ชิพ
ด้วยทรัพย์สินกว่า 21 ล้านปอนด์
(ประมาณ 1,386 ล้านบาท)
ซึ่งรายได้หลักก็น่าจะมาจาการ ได้เป็นพรีเซนเตอร์และเซ็นสัญญากับหลายองค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่
ไม่ว่าจะเป็น Renault Clio, ไนกี้, รีบ้อค
และล่าสุด เขาได้เป็น 1 ในพรีเซนเตอร์ของบริษัท
ยิลเล็ตต์ ร่วมกับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ไทเกอร์ วู้ดส์
รวมถึงเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องดื่ม เป๊ปซี่ ร่วมกับ เดวิด เบ๊คแฮม และ
โรนัลดินโญ่ อีกด้วย
ข้อมูลลับเฉพาะ
- อองรี เป็นชาวฝรั่งเศส
เชื้อสาย อันติลเลียน (ประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน) โดยพ่อของเขา นามว่า
อองโตนี มาจาก เกาะกัวเดลูป ขณะที่ แม่ของเขา คือ มารีเซ่ มาจาก เกาะมาร์ตินิก
- แม้จะประสบความสำเร็จ
ในอาชีพลูกหนังอย่างมากมาย แต่ในเรื่องชีวิตครอบครัว อองรี
กลับต้องเจอมรสุมอย่างหนักเหนี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อชีวิตคู่ของเขาต้องสิ้นสุดลง จากการหย่าร้างกับ “แคลร์” นิโคล แมร์รี่
อดีตภรรยาซึ่งเป็นนางแบบชาวอังกฤษ ในเดือน กันยายน ปี 2007
โดยทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ชื่อว่า เทีย
- อองรี ชื่นชอบกีฬาบาสเกตบอลไม่แพ้กับกีฬาฟุตบอล
โดยเขามักจะเดินทางไปชมการเล่นของ โทนี่ ปาร์คเกอร์ นักบาสเกตบอลชื่อดังของ ซาน
อันโตนิโอ สเปอร์ และเพื่อนซี้ของเขา อยู่เป็นประจำ ยามว่างจากการเล่นฟุตบอล
นอกจากนี้ เขายังชื่นชอบฝีไม้ลายมือการเล่นของ อัลเลน ไอเวอร์เซ่น นักบาสเกตบอลของทีม
เดนเวอร์ นักเก็ตต์ อีกด้วย
เกียรติยศที่เคยได้รับ
โมนาโก
แชมป์ลีกเอิง : 1996-1997
แชมป์ ซูเปอร์ คัพ : 1997
อาร์เซน่อล
แชมป์พรีเมียร์ลีก : 2001-2002,
2003-2004
แชมป์เอฟเอ คัพ : 2002, 2003, 2005
แชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ : 2002,
2004
รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2006
รองแชมป์ยูฟ่า คัพ : 2000
บาร์เซโลนา
แชมป์ลาลีกา : 2008/09
แชมป์โคปปา เดล เรย์ ลีกคัพ : 2008/09
แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก : 2008/09
ทีมชาติฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก : แชมป์ (1998),
รองแชมป์ (2006)
ฟุตบอลยุโรป : แชมป์ (2000)
คอนเฟเดอเรชั่น คัพ : แชมป์ (2003)
ส่วนตัว
รางวัลดาวซัลโวสูงสุดของยุโรป : 2004,
2005
รองนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก : 2003,
2004
ดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ชิพ : 2001-2002,
2003-2004, 2004-2005, 2005-2006
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักข่าว : 2002-2003,
2003-2004, 2005-2006
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ : 2002-2003,
2003-2004
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศส : 2000,
2002, 2003, 2004, 2005
รองนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป : 2003
(อันดับ 2),
2006 (อันดับ 3)
ที่มา:http://www.sport-idol.com/71/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B5/"ดาวยิงแห่งเมืองน้ำหอม"
ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=ko5jBnTn9hU&feature=player_embedded
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น