Ronaldinho
"เหยิน" จอมโยกสะท้ายโลก |
โรนัลดินโญ่ ยอดเพลย์เมกเกอร์ชาวบราซิเลี่ยน
ซึ่งโด่งดังมากสมัยค้าแข้งอยู่กับทีม “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า มหาอำนาจลูกหนังศึกลาลีกา สเปน
เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม
ปี ค.ศ.1980 ที่เมืองปอร์โต้
อเลเกร ในบราซิล มีชื่อเต็มๆว่า “โรนัลโด้ เดอ แอสซิส โมเรร่า” แต่รู้จักกันทั่วไปในนามของ โรนัลดินโญ่ เกาโช่
โดยคำว่า “โรนัลดินโญ่” ในภาษาโปรตุเกส แปลว่า “โรนัลโด้น้อย” นั่นเอง
และการใช้ชื่อนี้ของเขาก็แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเขาต้องการเป็นยอดนักเตะของโลก
เฉกเช่นเดียวกัน โรนัลโด้ กองหน้าซูเปอร์สตาร์รุ่นพี่ในทีมชาติบราซิล
ซึ่งตอนนี้เขาก็ทำสำเร็จแล้ว
ทักษะอันสุดยอดของ โรนัลดินโญ่
เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ในวัยเด็กที่เขาหลงใหลในการเล่นทั้งฟุตบอลโต๊ะเล็กตามท้องถนน
และบนพื้นทรายของชายหาดในเมือง ปอร์โต้ อเลเกร บ้านเกิด ในวัย 13 ปี
ก่อนที่จะพัฒนามาสู่การเล่นฟุตบอล 11 คน
ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักโด่งดังผ่านสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเมื่อสร้างประวัติศาสตร์ยิงประตูในการแข่งขันระดับเยาวชนภายในประเทศได้อย่างถล่มทลาย
และหลังจากการเป็นดาวเด่นในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลกอายุต่ำกว่า 17 ปี ก่อนที่ในที่สุด
เขาจะได้ร่วมทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมจากในบราซิลจนถึงทวีปยุโรปอย่างเช่นในปัจจุบัน
ก้าวเข้าสู่อาชีพลูกหนัง
1998-2001 : เกรมิโอ
“เหยินน้อย” เริ่มอาชีพนักเตะ กับสโมสรเกรมิโอ ใน บราซิล
ตั้งแต่ปี 1998-2001 ในฐานะนักเตะเยาวชนของสโมสร
ก่อนจะได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของสโมสรเป็นครั้งแรกในปี 1998
โดยเกิดขึ้นในเกมลิเบอร์ดาโดเรส
คัพ หลังจากนั้นมาเป็นต้นมา
ความสามารถของเขาก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว
ผู้คนต่างก็พากันตื่นตาตื่นใจไปกับทักษะการควบคุมลูกบอลและความสามารถในการยิงประตูของ
โรนัลดินโญ่ ส่งผลให้ในปี 1999 โรนัลดินโญ่
ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 19 ปี เท่านั้น
ดูเหมือนว่า ฟุตบอลในบราซิลกลายเป็นโลกที่เล็กไปสำหรับ โรนัลดินโญ่
ในที่สุดในปี 2001 เขาก็เดินทางมาสู่ยุโรปเซ็นสัญญาค้าแข้ง
5 ปี กับ
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทีมดังในฝรั่งเศส ด้วยวัยเพียง 20 ปีเศษ โดย เปแอสเช
ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ เกรมิโอ จำนวน 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 157.5
ล้านบาท) แม้ว่า
โรนัลดินโญ่ จะหมดสัญญากับ เกรมิโอ และกลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2001
ก็ตาม
2001-2003 : ปารีส แซงต์ แชร์กแมง
แม้ว่าจะเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์สูงสุด
แต่กับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป
ทำให้เจ้าเหยินเล็กประสบกับปัญหาในการปรับตัว ทั้งนี้ มีข่าวเป็นระยะๆ ว่า หลุยส์
แฟร์น็องเดซ โค้ชของทีมไม่ค่อยพอใจและมีความเห็นว่า โรนัลดินโญ่
เสียสมาธิไปกับการท่องราตรีมากกว่าที่จะมุ่งมั่นกับเกมฟุตบอล
รวมทั้งยังมีปัญหาในเรื่องระเบียบวินัยอีกด้วย
อันส่งผลให้ฟอร์มการเล่นก็เจ้าตัวก็ไม่คงเส้นคงวานัก เพราะเมื่อเจอกับทีมใหญ่
โรนัลดินโญ่ จะเล่นได้อย่างโดดเด่น แต่ในทางกลับกัน หากเล่นกันทีมที่เล็กกว่า
เจ้าเหยินน้อยก็จะหายไปจากเกม
หลังจากเสร็จศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ทำให้
โรนัลดินโญ่ กลายเป็นทีมต้องการของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป และในปี 2003
โรนัลดินโญ่
ประกาศกร้าวว่าต้องการย้ายออกจาก เปแอสเช
หลังจากที่สโมสรไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ
ประกอบกับการที่เขามีปัญหาขัดแย้งกับเทรนเนอร์ของทีม ซึ่งทำให้หลังจากนั้น
มีข้อเสนอมากมายเข้ามาสู่ทีมดังแห่งปารีส ก่อนที่ บาร์เซโลน่า ภายใต้การนำของ โจน
ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรคนปัจจุบัน จะทุ่มเงิน 21 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,386 ล้านบาท) เบียดเอาชนะ แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด คว้าตัวเหยินน้อยมาสู่ คัมป์ นู จนได้
2003-2008 : บาร์เซโลน่า
โรนัลดินโญ่ เกือบจะไม่ได้ย้ายมาพาบาร์เซโลน่า เพราะหลังจากที่ โจน
ลาปอร์ต้า ทนายหนุ่มไฟแรง ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานสโมสรบาร์เซโลน่า ในปี 2003
ด้วยนโยบายที่จะคว้าซูเปอร์สตาร์มาสู่คัมป์
นู ทันทีที่เขาได้รับตำแหน่ง แต่ในตอนแรกนั้น ลาปอร์ต้า ต้องการตัว เดวิด เบ็คแฮม
ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษ ที่ตอนนั้นกำลังจะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่เดชะบุญที่ เบ็คแฮม ไม่เลือก บาร์ซ่า ทั้งที่ว่ากันว่า แมนฯยูฯ
พร้อมจะขายเขามาสู่คัมป์ นู อยู่แล้ว และโชคดีที่ทาง เรอัล มาดริด
คู่ปรับของบาร์ซ่า ก็ต้องการตัวหนุ่มเบ็คส์ เช่นกัน ก่อนที่ เบ็คแฮม จะไปลงเอยกับ
รีล มาดริด ทำให้ ลาปอร์ต้า ต้องเบนเข็มมาล่า โรนัลดินโญ่ แทน
ก่อนเริ่มฤดูกาล 2003-2004 บาร์เซโลน่า ทำการเปิดตัวหัวหอกรายใหม่ของทีมในเกมนัดพิเศษที่พบกับ
เอซี มิลาน ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 45,000 คน ในสนาม อาร์เอฟเค สเดเดี้ยม ณ กรุงวอร์ชิงตัน
สหรัฐอเมริกา โดย บาร์เซโลน่า เอาชนะไปได้ 2-0 และ ก็เป็น โรนัลดินโญ่ ที่ซัดประตูที่ 2 ได้ด้วย ในนาทีที่ 51 ของเกม
ส่งผลประตูนี้กลายเป็นประตูแรกของเจ้าเหยินน้อยในสีเสื้อบาร์ซ่า อย่างไรก็ตาม
พอเข้าสู่ฤดูกาลแข่งขัน โรนัลดินโหญ่ ก็มีอาการบาดเจ็บรบกวน
และกว่าจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งแต่เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของซีซั่น
แต่ก็ไม่ถือว่าสายเกินไป เพราะ โรนัลดินโญ่ โชว์ฟอร์มได้สมราคา
ด้วยการพาทีมบาร์ซ่า ได้รองแชมป์ลา ลีกาฤดูกาลแรกในสเปน โรนัลดินโญ่ ได้
ในฤดูกาล 2004-2005 โรนัลดินโญ่
ประสานงานกับ ซามูเอล เอโต้, เดโก้, ชาบี, ลูโดวิช ชูลี่ และ เฮนริค
ลาร์สสัน ช่วยให้ทีมบาร์ซ่าประกาศศักดา คว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้
เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมี
แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด กุนซือหนุ่มชาวดัตช์ เป็นผู้นำทัพ ด้วยระบบ 4-3-3
อันลือลั่น
ส่งผลให้ฤดูกาลนี้เอง โรนัลดินโญ่ ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกจากฟีฟ่า
ไปครองในวันที่ 20 ธันวาคม 2004
อย่างไรเสีย โรนัลดินโญ่ ก็ไม่สามารถ บาร์เซโลน่า
พาไปได้ไกลในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากที่ โดน เชลซี เขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปอย่างน่าเจ็บใจ
แม้เกมนั้น โรนัลดินโญ่ จะโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น โดนทำคนเดียวถึง 2 ประตูก็ตาม ส่งผลให้ชื่อของ
โรนัลดินโญ่ ได้กลายเป็นที่หมายปองของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะ เชลซี
ที่ตกเป็นข่าวยอมทุ่มถึง 60 ล้านปอนด์
สำหรับค่าตัวของเขา (ประมาณ 3,960 ล้านบาท)
ปลายฤดูกาล 2004-2005 โรนัลดินโญ่
ซึ่งในตอนนั้น สัญญาจะหมดลงในปี 2008 ปฏิเสธที่จะต่อสัญญากับทีม บาร์ซ่า ออกไปจนถึงปี 2014
และในปีถัดมา
เขาก็ตัดสินใจต่อสัญญาฉบับกับทีมออกไปเพียง 2 ปี เท่านั้น โดยในสัญญาได้เปิดช่องว่า
เขามีสิทธิ์ย้ายออกจากถิ่น คัมป์ นู ได้
หากสโมสรต้นสังกัดได้รับข้อเสนอซื้อตัวในราคา 85 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,610 ล้านบาท)
ในฤดูกาล 2005-2006 โรนัลดินโญ่
ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ด้วยการพาทีม บาร์เซโลน่า ผงาดคว้าแชมป์ลา ลีกา
มาครองได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยให้ทีม “เจ้าบุญทุ่ม” คว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
มาครองได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล ได้ในรอบชิงชนะเลิศ 2-1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2007
พร้อมกับตบท้ายด้วยการที่
โรนัลดินโญ่ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ไปครองอีกหนึ่งรางวัล
ต้องเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จของ โรนัลดินโญ่
เพราะในฤดูกาลนี้ เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
(ฟีฟ่า) ประจำปี 2005 มาครอง
ซึ่งถือเป็นการรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันของเขา นอกจากนั้น
ยังคว้ารางวัลบัลลงดอร์ หรือนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป ของนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล มาครองได้
รวมถึงคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หรือ ฟิฟโปร อีกด้วย
ในฤดูกาล 2006-2007 โรนัลดินโญ่
ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย ทั้งในเกมลีก และเกมสโมสรยุโรป
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจพาทีม บาร์ซ่า ป้องกันแชมป์ ลาลีกา
สเปน และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ โดยในเกมลีกนั้น พวกกเขาต้องโดน เรอัล มาดริด
ฉกถ้วยไปครองได้ในปีนี้ ขณะที่ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นั้น พวกเขาก็ต้องจอดป้ายแค่เพียงรอบ
16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
หลังจากแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม โรนัลดินโญ่
ก็ยังสามารถช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ สโมสรโลกได้เป็นการปลอบใจหลังขย่ม เอาชนะ คลับ
อเมริกาไป 4-0 ในรอบชิงชนะเลิศ
และในปีนี้ โรนัลดินโญ่ ยังได้มีโอกาสขึ้นรับรางวัลนักฟุตบอลเยี่ยมของโลกอีกครั้ง
แต่ก็ในฐานะอันดับ 3 โดยต้องหลีกทางให้
ฟาบิโอ คันนาวาโร่ คว้ารางวัลไปครอง ด้วยผลงานกับการคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติอิตาลี
ในปี 2006
ฤดูกาล 2007-2008 โรนัลดินโญ่
ไม่ค่อยได้ลงเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า มากนัก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง
อย่างไรก็ดี เขาก็กลับมาลงสนามนัดที่ 200 ในทีมบาร์เซโลน่า ได้อีกครั้ง ในเกมที่พบกับ
โอซาซูน่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์
2008 ก่อนที่จะต้องหยุดพักยาวทั้งฤดูกาล
หลังได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาขวาอย่างหนักระหว่างการฝึกซ้อม เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2008
พร้อมกับกระแสข่าวการย้ายทีมของ
โรนัลดินโญ่ ที่ประทุขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น
โดยมีหลายทีมยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น เชลซี, เอซี มิลาน และ แมนเชสเตอร์
ซิตี้
2008-ปัจจุบัน : เอซี มิลาน
เอซี มิลาน ทีมดังจากอิตาลี ใช้เงิน 18.5 ล้านยูโร
ซื้อตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งเหยินน้อย ปฏิเสธเงินจำนวนมหาศาลในการที่จะย้ายไปร่วมทีม
แมนซิตี้ ซึ่งมีบักแม้วเป็นเจ้าของอยู่ในขณะนั้น ที่ทุ่มเงินซื้อถึง 32 ล้านยูโร!!
และเข้าๆออกๆระหว่างตัวจริงกับตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง กับทีมเอซี ในปัจจุบัน
และเมื่อ กาก้า ถูกขายออกจากทีมไป ก็ทำให้เขา ได้ลงเป็นตัวจริงบ่อยครั้งขึ้น
ทีมชาติบราซิล
โรนัลดินโญ่
เป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่คนของทีมชาติบราซิลที่ติดทีมชาติทุกรุ่นอายุ ไล่ตั้งแต่
ชุดยู-15, ยู-17, ยู-20 และ ยู-23 จนกระทั่ง
มาติดทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ใน วันที่ 26 มิถุนายน ปี 1999 และเขาก็แจ้งเกิดได้อย่างยอดเยี่ยม
ด้วยการยิงประตูชัยให้ทีมเซเลเซาเฉือนเอาชนะเวเนซุเอลา รวมทั้งช่วยให้ทีมคว้าแชมป์
โคปา อเมริกา มาครองได้อย่างงดงามหลังถล่มเอาชนะอุรุกวัยมาได้ในรอบชิงชนะเลิศ 3-0 ก่อนที่เขาจะโชคร้าย
อดลงเล่นเกมนัดชิงฯ ในศึก คอนเฟดเดอเรชั่น คัพ 1999 จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้
บราซิล พ่ายต่อ เม็กซิโก ไปอย่างน่าเสียดาย 3-4
ในปี 2002 โรนัลดินโญ่
ก้าวสู่จุดสูงสุดจุดหนึ่งของการเป็นนักเตะ ด้วยการพาทีมชาติบราซิล
คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ที่เอเชีย ซึ่งมีเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ
สำเร็จ จากสามประสานในเกมรุกที่มีเขา, โรนัลโด้ และ ริวัลโด้ (3
R's) ทำเดินร่วมกัน
โดยไฮไลต์สำคัญของเขา คือ การยิงลูกลักไก่ระยะไกลกว่า 35 เมตร ข้ามหัว เดวิด ซีแมน
นายทวารทีมชาติอังกฤษ ในขณะนั้น เป็นประตูชัยให้ บราซิล เอาชนะ อังกฤษ
ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนจะก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ ในท้ายที่สุด
แม้ว่าในแมตช์นั้นเขาจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม จากการไปทำฟาวล์อย่างน่าเกลียดใส่
แดนนี่ มิลล์ส แบ๊กขวาของทีม “สิงโตคำราม” ก็ตาม
ในปี 2005 โรนัลดินโญ่
รับบทสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติบราซิล ลงทำศึก คอนเฟเดอเรชั่นคัพ ปี 2005
และเขาก็นำลูกทีมผงาดคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม
ด้วยการเอาชนะ อาร์เจนติน่า ได้อย่างท้วมท้น 4-1 ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2005
และก่อนที่จะมาสู่ศึกฟุตบอลโลก
2006 ที่ประเทศ
เยอรมัน ซึ่ง โรนัลดินโญ่ ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นเดิม แต่ทว่า
ฟอร์มการเล่นของเขากลับน่าผิดหวังไม่น้อยในสายตาของแฟนบอล
โดยเขาไม่สามารถยิงประตูได้เลยในการลงสนาม 5 นัด
และยังเป็นคนจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ครั้งเดียวเท่านั้น (ในเกมที่ชนะ ญี่ปุ่น 4-1)
ก่อนที่จะโดน ฝรั่งเศส
เขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปในท้ายที่สุด
หลังจากสิ้นเสร็จศึกฟุตบอลโลก ที่ประเทศ เยอรมัน โรนัลดินโญ่
ก็เข้าๆ ออก ในทีมตัวจริงของทีมชาติบราซิล อยู่บ่อยครั้ง
โดยเขาลงเล่นภายใต้การคุมทีมของ คาร์ลอส ดุงก้า เทรนเนอร์คนใหม่ไปเพียง 3 จาก 5 เกมที่เป็นทางการเท่านั้น (2 ใน 3 เป็นการเล่นในฐานะตัวสำรอง)
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 24 มีนาคม 2007
โรนัลดินโญ่
กลับมาลงให้กับทีมชาติบราซิล ในฐานะตัวจริงครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2006
ในเกมที่เขาจัดการเหมาสองประตูช่วยให้
บราซิล ถล่มเอาชนะ ชิลี ไปได้ 4-0 และเป็นการหยุดสถิติที่เขายิงประตูในเกมทีมชาติไม่ได้เลยเป็นเวลาเกือบๆ
2 ปี
ได้สำเร็จ และในปี 2008 โรนัลดินโญ่
มีชื่อเป็นหนึ่งในนักเตะที่จะติดฟุตบอลทีมชาติบราซิลไปลุยศึกโอลิมปิก เกมส์
ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในฐานะโควตา นักเตะอายุเกิน 23 ปี ร่วมกับ ติอาโก้ ซิลวา
และ โรบินโญ่ อย่างไรก็ตาม ทางบาร์ซ่า ก็ได้ ออกมาเบรกไม่ให้ เหยินน้อย
ไปร่วมทีมในครั้งนี้ แต่ดูเหมือนว่าก็จะไม่เป็นผล
จากการที่ฉายฟอร์มเพชฌาตกับทีมเอซี มิลาน ไม่ได้เลย ทำให้ดุงก้า
ไม่เรียกเขาติดทีมชาติ ในศึกคอนเฟด 2009 ล่าสุด ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่า อนาคตของเขา
กับทีมชาติ ได้หมดลงแล้ว
ข้อมูลและชีวิตส่วนตัว
โรนัลดินโญ่ มีเอเย่นต์ประจำตัว คือ โรแบร์โต้ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ
ของเขาที่เคยเดินทางสายลูกหนังเหมือนกับโรนัลดินโญ่
แต่ก็ทำได้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านัน หลังจากที่โรแบร์โต้ ตรวจพบว่า
เป็นโรคหัวใจ ขณะที่ พี่สาวของเขา ซึ่งมีนามว่า เดซี่
ก็เป็นผู้ประสานงานกับสื่อต่างๆ ให้กับตัวของ โรนัลดินโญ่
โรนัลดินโญ่ ได้เป็นพ่อคนครั้งแรก ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2005
หลังจากที่ ยาไนน่า
นาตเตียลเล่ เวียนา เมนเดส แฟนชาวชาวบราซิล ให้กำเนิดลูกชาย โดย โรนัลดินโญ่
ตั้งชื่อให้ว่า เจา ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับพ่อบังเกิดเกล้าของเขานั่นเอง
เกียรติประวัติที่ได้รับ
สโมสร
ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท แชมเปี้ยนชิพ : 1999
ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท คัพ : 1999
อินเตอร์ โตโต้ คัพ: 2001
สแปนิช ลีกา: 2005, 2006
ซูเปอร์โคปปา เดอ เอสปาน่า: 2005, 2006
ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก: 2006
ฟีฟ่า เวิร์ลด คัพ 2006: (รองแชมป์)
ทีมชาติบราซิล
ฟีฟ่า ยู-17 เวิร์ลด
คัพ : 1997
โคปป้า อเมริกา : 1999
ฟีฟ่า เวิร์ลด คัพ : 2002
คอนเฟดเดเรชั่นส คัพ : 2005
ส่วนตัว
125 อันดับสุดยอดนักฟุตบอลที่ยังมีชีวิตอยู่ของเปเล่
สุดยอดนักเตะระดับโลกของฟีฟ่า : 2004, 2005
ผู้เล่นระดับโลกแห่งปี : 2004, 2005
สุดยอดนักฟุตบอลในทวีปยูโรป : 2005
นักเตะระดับโลกแห่งปี ของฟิฟโปร: 2005, 2006
ติดสุดยอดทีมของฟิฟโปร : 2005, 2006, 2007
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า : 2005-06
ตัวรุกยอดเยี่ยมของยูฟ่า : 2004-05
ติดทีมประจำปีของยูฟ่า : 2004, 2005, 2006
ยอดนักเตะต่างชาติในแดนลา ลีกา: 2004, 2006
รางวัล อีเอฟอี โทรฟี่ : 2004
ติดออลสตาร์ของฟีฟ่า : 2002
รางวัลฟุตบอลสีบรอนซ์ ของฟีฟ่า : 2006
ดาวซัลโว คอนเฟดเดเรชั่น : 1999
บอลทองคำ คอนเฟดเดเรชั่น : 1999
ดาวซัลโว ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท แชมเปี้ยนชิพ : 1999
"ทักษะอันสุดยอดของ เหยิน ตัวน้อยๆ"
ที่มา:http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=1QlLZuehOQA
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น