it's me

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

ยินดีต้อนรับ




















Lionel Messi "เทพพระเจ้า ลูกหนัง"


Lionel  Messi

"เทพพระเจ้า ลูกหนัง"



         นับตั้งแต่สิ้นยุคของมหัศจรรย์ลูกหนังอาร์เจนไตน์ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็มีนักเตะพรสวรรค์สายเลือดใหม่มากมายที่ถูกเปรียบเทียบกับเทพเจ้าลูกหนังรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดมาราโดน่า ก็ได้พบกับทายาทที่แท้จริงจนได้กับเจ้าหนูมหัศจรรย์ "ลิโอเนล เมสซี่"
           ลิโอเนล เมสซี่ หรือในชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 เป็นเมสซี่เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า
           เจ้าหนูลิโอเนล หรือ "ลีโอ" เริ่มต้นเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 5 ขวบ และได้อยู่กับสโมสรเล็กๆที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เพื่อเรียนวิชาลูกหนังที่เข้มข้นกว่าเดิม
           เมื่อได้ย้ายมาสู่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ สโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า เส้นทางของเจ้าหนูตัวเล็กรายนี้น่าจะไปได้สวยและมีโอกาสจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคตก้าวสู่เส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยไปร่วมสังกัดนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
           แต่ในขณะที่เมสซี่ กำลังจะไปได้ดี โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาอย่างจัง เมื่อร่างกายที่เล็กเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่นขาดพัฒนาการ ร้อนถึงพ่อต้องจับตรวจและพบว่าเมสซี่ มีปัญหาในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวได้ขาดไป และพ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาที่แสนแพงในอาร์เจนติน่าได้
           ในขณะที่หนทางกำลังจะตีบตัน ครอบครัวเมสซี่ ก็พบกับทางสว่าง เมื่อการ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้และประทับใจกับพรสวรรค์ที่มีเหลือล้นในตัว เรซัค จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ว่าทางบาร์เซโลน่า ยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษาให้แต่ว่าเมสซี่ จะต้องไปอยู่ที่สเปน ครอบครัวเมสซี่ไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่สเปนพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน
           ด้วยพรสวรรค์ ฝีเท้า และความเร็วในตัวเขา ทำให้เจ้าหนูเมสซี่ค่อยๆ ก้าวเป็นดาวเด่นในทีมระดับเยาวชนของบาร์ซ่า ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมบาร์เซโลน่า บี อย่างรวดเร็ว

          เส้นทางชีวิตของเมสซี่ ยังแรงและเร็วเหมือนจรวดทะยานขึ้นฟ้า เพียงแค่ไม่นานเขาก็กลายเป็นตัวหลักในทีมบี และทำผลงานเหลือเชื่อด้วยการยิงไปถึง 37 ประตูจากการเล่นแค่ 30 นัดเท่านั้น ฟอร์มการเล่นระดับนี้ไม่มีทางที่แฟรงค์ ไรจ์การ์ด นายใหญ่ทีม "เจ้าบุญทุ่ม" จะมองไม่เห็น และในปลายฤดูกาล 2004/05 ไรจ์การ์ด ก็เปิดทางให้เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ได้เริ่มต้นลงมาสัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่ ซึ่งเมสซี่ ก็ใช้เวลาไม่นานในการควานหาประตูแรกในนัดที่พบกับอัลบาเซเต้ ซึ่งก็เป็นประตูสุดสวยด้วยการกระดกข้ามหัวผู้รักษาเข้าไป และเป็นประตูที่ทำให้เมสซี่ เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้บาร์ซ่าได้ในวัย 17 ปี 10 เดือนกับอีก 7 วัน
           หลังจากที่ได้ประเดิมเกมกับบาร์ซ่าไปแล้ว เมสซี่ ก็กลับมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า หลังได้ปฏิเสธโอกาสที่จะเล่นให้ทีมชาติสเปนไปก่อนหน้านั้น และในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เนเธอร์แลนด์ เมสซี่ ก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้น เมื่อสามารถร่ายลีลาลูกหนังได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องอุทานว่านี่มันดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เกิดใหม่ชัดๆ ซึ่งในรายการนี้เมสซี่ เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการพาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์และคว้าทั้งรางวัลดาวซัลโวด้วยจำนวน 6 ประตู และยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการด้วย
          ทันทีที่จบรายการดังกล่าว บาร์ซ่า ก็จัดแจงต่อสัญญายาวให้เมสซี่จนถึงปี 2010 ทันที โดยมีเงื่อนไขในการย้ายทีมสูงถึง 150 ล้านยูโร มากกว่าโรนัลดินโญ่ รุ่นพี่ที่เป็นนักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกถึงกว่า 30 ล้านยูโรเสียอีก
และหลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 4 ส.ค.2005 เมสซี่ ก็ถูกโฮเซ่ เปเกร์มาน เทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ทันทีและได้ลงสนามนัดแรกทันทีในเกมกับทีมชาติฮังการี
แต่ก็เป็นเกมประเดิมสนามที่เลวร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับเมสซี่ เมื่อถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้นหลังลงเล่นเนื่องจากผู้ตัดสิน มาร์คุส แมร์ก เห็นว่าไปชักศอกใส่วิลมอส วานซัค กองหลังทีมแม็กยาร์ที่พยายามดึงเสื้ออยู่ ทำให้เจ้าหนูมหัศจรรย์ต้องเดินออกจากสนามทั้งน้ำตา
           อย่างไรก็ตาม เมสซี่ ไม่ได้ท้อแท้มากนักและกลับมาลงสนามใหม่ให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับปารากวัย ในวันที่ 3 ก.ย. 2005 ซึ่งแม้จะได้เล่นเพียง 8 นาทีและแพ้ด้วยสกอร์ 1-0 แต่เมสซี่ ก็ถือว่านัดนี้เป็นการลงเล่นนัดแรกครั้งใหม่ของเขาในสีเสื้อฟ้าขาว
ถัดมาไม่นานในวันที่ 25 ก.ย. เมสซี่ ก็ได้เป็นพลเมืองของประเทศสเปน ทำให้สามารถที่จะลงสนามให้กับทีมบาร์เซโลน่าได้อย่างไม่ติดขัดอีก หลังต้องอดทนรอข้างสนามมานานนับเดือนเนื่องจากทีมบาร์ซ่า มีนักเตะนอกโควต้าอียูเกินที่กำหนดแล้ว และเมสซี่ ก็ก้าวมาเป็นกำลังหลักในทีมของไรจ์การ์ดทันที ในฐานะสามเหลี่ยมมหัศจรรย์ร่วมกับซามูแอล เอโต้ และโรนัลดินโญ่ นำบาร์ซ่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่
ในปีนี้เมสซี่ ยังได้รับรางวัลโกลเด้น บอย จากนิตยสารตุตโต้ สปอร์ตด้วย และชื่อของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ก็เป็นที่กล่าวขานกันในวงการฟุตบอล ซึ่งแทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักลิโอเนล เมสซี่

           แต่ในปี 2006 เมสซี่ พบกับช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวังเนื่องจากอาร์เจนติน่า ต้องร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพเยอรมัน แต่ตัวเขาเองก็พอจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยโดยยิงได้ 1 ประตูในเกมกับเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6-0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้
           หลังจากนั้น เมสซี่ เกิดโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับแวร์เดอร์ เบรเมน ถึงขั้นกระดูกเท้าแตกจนต้องพักการเล่นมาอย่างยาวนานหลายเดือนนับจากนั้น
อย่างไรก็ตาม เมสซี่ กลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อทำแฮตทริกได้ในเกม "เอล กลาซิโก้" กับทีมเรอัล มาดริด ในนัดที่เสมอกับบาร์เซโลน่า 3-3 ที่คัมป์ นู ซึ่งทำให้เมสซี่ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบนับสิบปีที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้
นับตั้งแต่อีวาน ซาโมราโน่ ทำไว้เมื่อปี 1994-95 และหากนับของบาร์ซ่า ก็เป็นคนแรกตั้งแต่โรมาริโอ ทำได้เมื่อปี 1993-94 เลยทีเดียว และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ด้วย
           แต่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมสซี่ เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อทำได้คนเดียว 2 ประตูในเกมโคป้า เดล เรย์ กับเคตาเฟ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประสุดอัศจรรย์ด้วยการลากเดี่ยวจากครึ่งสนามฝ่าผู้เล่นเคตาเฟ่ 6 คนเข้าไปทำประตูอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นประตูที่แทบจะถอดแบบประตูแห่งศตวรรษที่มาราโดน่า ทำได้ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติอังกฤษ ที่ถือเป็นประตูในตำนานตลอดกาลของฟุตบอลโลกเลยทีเดียว

          หลังจากนั้นได้มีการนำสองประตูที่ว่ามาเปรียบเทียบกันแบบช็อตต่อช็อต และพบว่าเป็นประตูที่มาจากพิมพ์เดียวกันจริงๆทั้งจำนวนระยะทางที่เท่ากัน (62 เมตร) และยังเป็นการเลื้อยผ่านผู้เล่นเท่ากันคือ 6 คน (รวมผู้รักษาประตู) ยิงประตูจากมุมเดียวกัน แถมยังวิ่งไปฉลองการทำประตูที่มุมธงเหมือนที่มาราโดน่าทำอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมาราโดน่า แปด้วยเท้าซ้าย ส่วนเมสซี่ ยิงหักข้อด้วยเท้าขวา

           หนังสือพิมพ์ในสเปนถึงกับให้ฉายาใหม่แก่เมสซี่ว่า "เมสซี่โดน่า" ทีเดียวกับตำนานบทใหม่นี้ และทุกฝ่ายก็ต่างจับตามองเส้นทางของเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้
            นอกเหนือจากการลากเลี้ยงสไตย์บาร์เซโลนาแล้ว ผลงานของเมสซี่ในช่วง 2007-2008 ไม่ค่อยมีใครจดจำนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทางทีมต้นสังกัด บาร์เซโลนา ไปไม่ถึงไหน ตกรอบทุกรายการรวมถึงโดนทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง เรอัล มาดริด แย่งแชมป์ไปด้วย ทำให้ไม่เป็นที่จับตามองเท่าไหร่นัก
            จนกระทั่งการเข้ามาคุมทีมของ โจเซ็ป กวาดิโอลาร์ และการจากไปของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ โรนัลดินโญ่ เป๊บ กุนซือคนใหม่ ทำอีท่าไหนไม่มีใครทราบ ส่งให้เจ้าหนูตีนระเบิดจากอาร์เจนตินา ยิงไปในฤดูกาลเดียวทั้งสิ้น 38 ประตู จ่ายให้ยิงอีก 18 ในจำนวนการลงสนามทั้งสิ้น 51 นัด!!! มีส่วนช่วยให้ทีมเจ้าบุญทุ่ม คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลที่ 2008/09
          
เกียรติยศระดับทีมชาติ
ทีมชาติอาร์เจนตินา
: แชมป์ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี : 2005
: เหรียญทองโอลิมปิก ปี 2008
: รองแชมป์ โคปปาอเมริกา 2007

เกียรติยศระดับสโมสร
ทีมบาร์เซโลน่า
: แชมป์ลาลีกาสเปน : 2004-05, 2005-06, 2008-09
: แชมเปียนส์ลีกยูฟ่า : 2005-06,  2008-09
: แชมป์โคปปา เดลเรย์ : 2008-09
: แชมป์ซูปเปอร์โคปา สเปน Supercopa de Espana : 2005, 2006

เกียรติยศส่วนตัว
: นักเตะยอดเยี่ยม (Golden Ball) ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี : 2005
: ดาวซัลโว (Golden Boot) ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี : 2005
: นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม (Golden Boy) : 2005
: นักเตะอาร์เจนตินาแห่งปี (Olimpia de Plata) : ปี 2005
: นักเตะดาวรุ่งแห่งปีของฟีฟ่า (FIFPro) : 2006

ที่มา : http://www.sport-idol.com/23/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87--%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%A5-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%88/

"เหนือคำบรรยาย"




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=wA6kwK7D4Ok&feature=player_embedded








Zinedine Zidane"ฟุตบอลเป็นอวัยวะส่นหนึ่งในร่างกายของ ซีเนอดีน ซีดาน"


Zinedine  Zidane

"ฟุตบอลเป็นอวัยวะส่นหนึ่งในร่างกายของ ซีเนอดีน ซีดาน"

                ซีเนอดีน ซีดาน ถือเป็นอดีตนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนัง ซีดาน หรือ ที่รู้จักในชื่อเล่นว่า ซิซูเป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรีย โดยเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมชาติฝรั่งเศสชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1998 และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000

นอกจากนี้ ความสามารถทางลูกหนังของเขายังได้รับการการันตีจากรางวัล โกลเด้นบอลภายหลังสวมบทกัปตันทีมพาทัพ เลส์ เบลอส์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศศึก ฟุตบอลโลก ปี 2006 ที่ เยอรมัน ได้สำเร็จ ทว่าการปิดฉากชีวิตลูกหนังของเขากลับไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างผลงานที่เขาสั่งสมไว้ หลังจากที่ ซีดาน บันดาลโทสะ ใช้หัวโหม่งมาร์โก มาร์เตรัซซี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี ในแมตช์ดังกล่าว จนเป็นประเด็นถกเถียงใหญ่โตในช่วงนั้น

เริ่มต้นอาชีพฟุตบอล

1988-1996 : กานส์ และ บอร์กโดซ์

 
ซีดาน อัจฉริยะลูกหนังเชื้อสายแอลจีเรียผู้นี้ เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ปี 1972 ที่เมืองมาร์กเซย ประเทศฝรั่งเศส โดยเขาเริ่มต้นอาชีพลูกหนังจากการเล่นอยู่ตามท้องถนนในเมืองมาร์กเซย ตามประสาเด็กทั่วไป จนในตอนที่หนูน้อยซีดาน มีอายุได้ 14 ปี พรสวรรค์ของเขาก็ไปเตะตาแมวมองของสโมสรกานส์ ที่มาชักชวนให้เขาไปเข้าโรงเรียนลูกหนังฝึกฝนฝีเท้ากับทางสโมสร

   ในที่สุด ซีดาน ได้กลายเป็นสมาชิกทีมชุดใหญ่ของกานส์ ตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่ถึง 17 ปี โดยในฤดูกาล 1990/1991 เขาก็เป็นตัวจริงของทีมได้แล้ว แม้ว่า กานส์ จะตกชั้นไปจากลีก เอิง แต่ ซีดาน ก็ยังคงได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของฝรั่งเศส ต่อไป เมื่อ บอร์กโดซ์ เข้ามาคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ต่อทันทีที่ กานส์ ตกชั้น ในฤดูกาล 1992/1993

  หลังจาก ซีดาน ย้ายมาร่วมทีม บอร์กโดซ์ เขาก็เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนทีม และสามารถพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ ฟุตบอลยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 1995/1996 ซึ่งแม้ว่า บอร์กโดซ์ จะพ่าย บาเยิร์น มิวนิค ทีมยักษ์ใหญ่ของเยอรมัน จนพลาดแชมป์ไป แต่ฝีเท้าของ ซีดาน ที่ได้สำแดงออกมาในฤดูกาลนั้น ทำให้เขาแจ้งเกิดในเวทีลูกหนังยุโรป ได้สำเร็จ จนมีคนยกย่องว่าจะกลายเป็นตำนานลูกหนังของฝรั่งเศส เช่นเดียวกับ มิเชล พลาตินี่ ที่ ซีดาน เคยส่งบอลให้กับมือ ในตอนที่เขาเป็นเด็กเก็บลูกฟุตบอล ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 1984

1996-2001 : ยูเวนตุส

ในปี 1996  ซีดาน ได้ย้ายไปร่วมทีม ม้าลายยูเวนตุส ภายใต้การคุมบังเหียนของ มาร์เชโล ลิปปี้ และ ซีดาน ก็เป็นส่วนสำคัญที่พาทีมยูเวนตุส คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา และ แชมป์อินเตอร์คอนทิเนนทอล คัพ ในปี 1997 รวมถึง มีส่วนสำคัญพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่จะพ่ายให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 3-1 และในฤดูกาลถัดมา ซีดาน ยังช่วยให้ ยูเวนตุส คว้าแขมป์ สคูเต็ตโต้ได้อีกสมัย เช่นเดียวกับ พาทีมเขารอบชิงชนะเลิศ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สุดท้าย ทีมของเขาก็ต้องเป็นฝ่ายปราชัยให้กับ เรอัล มาดริด ไป 0-1

2001-2006 : เรอัล มาดริด



หลังจากค้าแข้งอยู่ในแดนมักกะโรนี กับ ยูเวนตุส อยู่ 5 ฤดูกาล ในที่สุด ซีดาน ก็ย้ายไปร่วมทีม ราชันชุดขาวเรอัล มาดริด ทีมยักษ์ใหญ่ของสเปน  ในปี 2001 ด้วยค่าตัวสูงที่สุดในโลก 76 ล้านยูโร (ประมาณ 4,028 ล้านบาท)
และในฤดูกาลแรกที่ ซีดาน ไปอยู่กับ รีล มาดริด เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ทันที ด้วยการเอาชนะ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ ซีดาน สามารถทำประตูสุดคลาสสิค จากการวอลเลย์บอลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม อีกด้วย

ฤดูกาลต่อมา ซีดาน ยังทำผลงานได้อย่ายอดเยี่ยง โดยเขาสามารถพา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ และ แชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ได้สำเร็จ ซึ่งในฤดูกาล 2002/2003 ซีดาน ได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกจากการประกาศของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ

หรือ ฟีฟ่า เป็นสมัยที่ 3 เทียบเท่ากับ โรนัลโด้ กองหน้าทีมชาติบราซิล หลังจากก่อนหน้านี้ ซีดาน เคยได้รับรางวัลดังกล่าวมาแล้วในปี 1998 และ 2000

อย่างไรก็ตาม ฤดูกาล 2005/2006 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของซีดาน กับ เรอัล มาดริด อาจไม่น่าประทับใจนัก เมื่อต้นสังกัดของเขากระเด็นตกรอบรองชนะเลิศศึก โกปา เดล เรย์ และ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงถูกทีม เจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลน่า ทิ้งห่างถึง 12 แต้ม พร้อมกับคว้าแชมป์ลาลีกา ไปครอง และในที่สุด ซีดาน ก็แขวนสตั๊ด อย่างเป็นทางการ  ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2006

ทีมชาติฝรั่งเศส

จากความที่ ซีดาน ถือสองสัญชาติ ทั้งฝรั่งเศส และ แอลจีเรีย จึงทำให้เขาสามารถเลือกที่จะเล่นให้กับทีมใดทีมหนึ่งก็ได้ และเขาก็เกือบจะได้เล่นให้กับทีมชาติแอลจีเรียไปแล้ว แต่จากการถูกปฏิเสธจากโค้ชของทีมที่รู้สึกว่าเขาไม่มีความเร็วพอในตำแหน่งที่เล่นตอนนั้น ในที่สุด เส้นทางในทีมชาติฝรั่งเศส ของซีดาน ก็บังเกิดขึ้น โดย ซีดาน ติดทีม ตราไก่ครั้งแรก ในปี 1994 และสร้างความประทับใจสุดๆ ด้วยการลงมาทำคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ ฝรั่งเศส ไล่ตามตีเสมอ สาธารณรัฐเช็ก 2-2 หลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 0-2 ในตอนที่ ซีดาน ยังไม่ถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม

ซีดาน มาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในระดับนานาชาติ เมื่อติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 1996 ที่ประเทศอังกฤษ เป็นเจ้าภาพ และ ซิซู ก็โชว์ลวดลายลีลาออกมาได้อย่างน่าประทับใจ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ฝรั่งเศส จะไม่ถึงดวงดาวในการแข่งขันครั้งนั้น แต่ ซีดาน ก็กลายเป็นเป้าหมายสำคัญสโมสรชั้นนำในยุโรป และเป็นอนาคตของทีม เลส์ เบลอส์อีกด้วย

หลังจากจบ ยูโร 96 ยูเวนตุส ทีมมหาอำนาจของอิตาลี ที่ประทับใจฝีเท้าของ ซีดาน เป็นอย่างยิ่ง ก็คว้าตัว ซิซู ไปร่วมทีม ด้วยค่าตัวเพียงประมาณ 3 ล้านปอนด์ และ ซีดาน ก็พา ยูเวนตุส คว้าแชมป์ได้ทันที ด้วยการเอาชนะ ริเวอร์เพลท ของอาร์เจนติน่า ในการชิงแชมป์ฟุตบอลอินเตอร์คอนติเน็นทั่ล คัพ ที่เป็นการเอาแชมป์สโมสรยุโรป มาเจอกับแชมป์สโมสรของอเมริกาใต้ นั่นเอง

1998 : คว้าแชมป์โลก

ในฟุตบอลโลก 1998 พลพรรคนักเตะฝรั่งเศส ภายใต้การคุมทีมของ เอ็มเม่ ฌักเก้ต์ และมี ซีดาน เป็นหัวใจของทีม แถมยังมีเสียงเชียร์มหาศาลจากแฟนบอลของตนเอง สามารถทะลุทะลวงเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศกับ บราซิล ที่มี โรนัลโด้ เป็นตัวชูโรงและพวกเขาสามารถเอาชนะ บราซิล ได้แบบขาดลอย 3-0 พร้อมกับคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก สมัยแรก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยที่ 2 ประตูแรกที่นำไปสุ่ชัยชนะของทีม ตราไก่มาจากการโหม่งของ ซีเนอดีน ซีดาน เพลย์เมกเกอร์คนเก่งของทีมนั่นเอง ซึ่งในช่วงปลายปีนั้น ซีดาน ก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก และนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป มาครองได้อีกด้วย


2000 : แชมป์ยูโร

หลังจากคว้าแชมป์โลก 1998 มาครองได้แล้ว พลพรรคนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส ยังเดินหน้าทำผลงานยอดเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเปลี่ยนกุนซือจาก ฌักเก้ต์ มาเป็น โรเช่ร์ เลอแมร์ แต่นักเตะกำลังหลักของทีมก็ยังอยู่กันครบ ซึ่งภารกิจต่อมาของ ซีดาน และชาวคณะก็คือศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000 ซึ่ง ฮอลแลนด์ กับ เบลเยี่ยม เป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยที่ ฝรั่งเศส ในฐานะแชมป์โลก ตะลุยผ่านรอบคัดเลือกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะมาสร้างผลงานบันลือโลกอีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ยุโรป มาครองได้ ด้วยการเอาชนะ อิตาลี ในรอบชิงชนะเลิศ จากประตูชัยของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ และในปลายปีนั้น ซีดาน ก็ได้รางวัลนักเตะยอดเยียมของโลก มาครองเป็นสมัยที่ 2 ด้วย

2002-2006 : ไม่ประสบความสำเร็จกับฝรั่งเศส


อย่างไรก็ตาม ซีดาน และทีมชาติฝรั่งเศส ต้องมาประสบความล้มเหลวอย่างยิ่งในฟุตบอลโลก 2002 ที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ เมื่อกระเด็นตกรอบแรกไปอย่างน่าอาย โดยสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็เพราะซีดานได้รับบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่องก่อนการแข่งขัน ทำให้ไม่ฟิตสมบูรณ์เต็มที่ในการลงเตะฟุตบอลโลก 2002
ต่อมาในปี 2004 ซีดาน พาทีมชาติฝรั่งเศส ลงทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ "ยูโร" ปี 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส ก่อนจะต้องเจอกับผิดหวังอีกครั้ง เมื่อพ่ายทีมรองบ่อนอย่าง กรีซ ตกรอบไปแบบพลิกความคาดหมย จนทำให้ ซีดาน ท้อแท้ใจจนประกาศอำลาทีมชาติ หลังจากจบการแข่งขันรายการนั้น

แต่ด้วยเสียงเรียกร้องของแฟนบอลฝรั่งเศส อีกทั้งกุนซือทีมชาติคนปัจจุบันอย่าง โดเมอเน็ค ก็ลงทุนอ้อนวอนเกลี้ยกล่อมด้วยตนเองมาตลอด ทำให้ ซีดาน ยอมหวนกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ในช่วงฤดูร้อนปี 2005 ซึ่งในตอนนั้น สถานการณ์ของทีม ตราไก่ในศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอ ซีดาน กลับมาสู่ทีมเท่านั้น ทุกอย่างก็กลับมาลงตัว และ ฝรั่งเศส ก็ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ

2006 : รองแชมป์ฟุตบอลโลก



ฝรั่งเศส ออกประเดิมสนามศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน ได้ไม่ดีนัก ด้วยการเสมอกับ สวิตเซอร์แลนด์ 0-0 และ เกาหลีใต้ 1-1 แถมเกมนั้น ซีดาน ก็โดนไล่ออกจากสนาม หลังจากได้ใบเหลือง 2 ใบ ส่งผลให้ ซีดาน ต้องชวดลงสนามในเกมนัดสุดท้าย ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่พบกับ โตโก อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศส ก็สามารถทุบเอาชนะ โตโก 2-0 พร้อมกับผ่านเข้ารอบไปในฐานะทีมอันดับ 2 ซึ่งจะต้องไปพบกับ สเปน ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป

ในเกมพบกันทีม กระทิงดุซีดาน ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง และเป็นคนเปิดบอลใส่พานให้ ปาทริค วิเอร่า ทำประตูให้ฝรั่งเศส ออกนำ สเปน 2-1 ในช่วงท้ายเกม ก่อนที่ เขาจะมาซัดประตูย้ำชัย ได้ในนาทีที่ 91 ส่งผลให้ ฝรั่งเศส เอาชนะไปได้ 3-1 และเขาไปพบกับ บราซิล แชมป์เก่า  ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งซีดาน ก็แผลงฤทธิ์เปิดบอลให้ เธียร์รี่ อองรี ซัดประตูชัย ให้ฝรั่งเศส เอาชนะไปได้ในที่สุด 1-0 พร้อมกับการคว้าตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ในเกมนั้นไปครองในนัดต่อไป ซีดาน นำทัพทีมฝรั่งเศส

ก้าวลงสนามในเกมนัดรองชนะเลิศ โดยพบกับ โปรตุเกส และเขาก็ซัดจุดโทษในนาทีที่ 33 ช่วยให้ ฝรั่งเศส เอาชนะทัพ ฝอยทองไปได้ 1-0 พร้อมกับทะลุกเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับ อิตาลี ซึ่ง ซีดาน ยังสวมบทฮีโร่ของให้ ซีดาน กลายเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก ที่สามารถทำประตูในนัดชิงชนะเลิศได้ 2 ครั้งในปีต่างกัน เคียงข้างกับ เปเล่, พอล ไบรต์เนอร์ และ วาว่า

อย่างไรก็ตาม อิตาลี ก็มาตามตีเสมอได้สำเร็จ จากการทำประตูของ มาร์เตรัซซี่  ทำให้เกมนี้จะต้องยืดเยื้อไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ นำมาซึ่งการโดนไล่ออกของ ซีดาน ในนาทีที่ 110 หลังจากที่เขาใช้ศีรษะโขกใส่ มาร์เตรัซซี่ แต่ทว่าก็ไม่มีใครทำอะไรกันได้ จนมาถึงการดวลจุดโทษตัดสินซึ่งก็เป็น อิตาลี ที่เอาชนะไปได้ 5-3 แต่หลังจบทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าว ซีดาน ก็ยังคงรางวัล โกลเด้นบอลซึ่งมอบให้กับผู้เล่นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในศึกฟุตบอลโลก ไปครองในที่สุด


กิจกรรมการกุศล

ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2007 ซีดาน ลงเล่นฟุตบอลการกุศลกับเพื่อหาเงินช่วยเหลือ มูลนิธิเกื้อดรุณ ซึ่งเป็นมูลนิธิช่วยเหลือเด็กที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ในประเทศไทย โดยมียอดการบริจาคในกิจกรรมนั้น คิดเป็นเงิน 260,000 บาท

ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2007 ซีดาน ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นทูตของ ยูเอ็น ในปี 2001 ลงเล่นฟุตบอลการกุศลช่วยเหลือผู้ยากจน ที่เมือง มาลาก้า ประเทศ โดยมี อดีตเพื่อนร่วมทีม เรอัล มาดริด อย่าง รวมถึง นักกีฬาประเภทอื่นๆ และ คนดังอีกหลายคน ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งกิจกรรมการกุศลดังกล่าวจะถูกจัดขึ้นทุกปี โดยเป็นหนึ่งในแผนงานของ United Nations Development Programme ซึ่งเป็นกิจกรรมขององค์การยูนิเซฟ


ชีวิตส่วนตัว

ซีดาน ระบุว่า ตัวเขาเป็นมุสลิมที่ไม่เคร่งศาสนามากนัก ส่วนในชีวิตครอบครัว ซีดาน ได้พบกับ เวโรนิก เฟร์นานเดซ นักเต้นชาวสแปนิช ซึ่งเป็นภรรยาคนปัจจุบันของเขา ขณะที่ ซีดาน ยังค้าแข้งอยู่กับ ทีม กานส์ ในฤดูกาล 1991/1992 ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันสองคน ได้แก่ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ และ ลูก้า ซีนาดีน ซีดาน ซึ่งทั้งสองคนกำลึงฝึกฟุตบอลอยู่ที่ อคาเดมี่ของ  สโมสร เรอัล มาดริด

เกียรติประวัติ

บอร์กโดซ์
ยูฟ่า คัพ (รองแชมป์) : 1995/1996
แชมป์ลีกเอิง : 1995/1996
อินเตอร์ โตโต้ คัพ : 1995
ยูเวนตุส
เซเรีย อา : 1996/1997 : 1997/1998
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 1996
อิตาเลีย ซูเปอร์ คัพ : 1997
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (รองแชมป์) : 1996/1997, 1997/1998
เรอัล มาดริด
ลา ลีกา : 2002/2003
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2001/2002
อินเตอร์เนชัลแนล คัพ : 2002
ยูโรเปี้ยนส์ ซูเปอร์ คัพ : 2002
สแปนิช ซูเปอร์ คัพ : 2001, 2003
ทีมชาติฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก : 1998 (แชมป์), 2006 (รองแชมป์)
ฟุตบอลยูโร : 2000 (แชมป์)

รางวัลส่วนตัว

มิดฟิลด์ยอดเยี่ยม, ฟุตบอลสโมสรโลก  : 1997/1998
นักฟุตบอลแห่งปี  : 1998
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก : 1998, 2000, 2003
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก อันดับ 2 : 2006
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก อันดับ 3 : 1997, 2002
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) : 1998
ผู้เล่นทรงคุณค่า, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2001/2002
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปในช่วง 50 ปี, ยูฟ่า โกลเด้น จูบิลี่ โพล : 2004
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์, ฟุตบอลโลก : 2006
ติดทีมยอดเยี่ยมของโลก : 2005, 2006
Onze d'Or: 1998, 2000, 2001
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป : 2000
FIFA All-Star Team: 1998, 2006
UEFA BEST XI: 2001, 2002, 2003
Chevalier (Knight) of the Légion d'honneur: since 1998[50]



"ตำนานหัวไข่ดาว"



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=VFQ0B44-bYs























Ronaldinho "เหยิน" จอมโยกสะท้ายโลก


Ronaldinho

"เหยิน"  จอมโยกสะท้ายโลก



          โรนัลดินโญ่ ยอดเพลย์เมกเกอร์ชาวบราซิเลี่ยน ซึ่งโด่งดังมากสมัยค้าแข้งอยู่กับทีม เจ้าบุญทุ่มบาร์เซโลน่า มหาอำนาจลูกหนังศึกลาลีกา สเปน เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี ค.ศ.1980 ที่เมืองปอร์โต้ อเลเกร ในบราซิล มีชื่อเต็มๆว่า โรนัลโด้ เดอ แอสซิส โมเรร่าแต่รู้จักกันทั่วไปในนามของ โรนัลดินโญ่ เกาโช่ โดยคำว่า โรนัลดินโญ่ในภาษาโปรตุเกส แปลว่า โรนัลโด้น้อยนั่นเอง และการใช้ชื่อนี้ของเขาก็แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเขาต้องการเป็นยอดนักเตะของโลก เฉกเช่นเดียวกัน โรนัลโด้ กองหน้าซูเปอร์สตาร์รุ่นพี่ในทีมชาติบราซิล ซึ่งตอนนี้เขาก็ทำสำเร็จแล้ว

ทักษะอันสุดยอดของ โรนัลดินโญ่ เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ในวัยเด็กที่เขาหลงใหลในการเล่นทั้งฟุตบอลโต๊ะเล็กตามท้องถนน และบนพื้นทรายของชายหาดในเมือง ปอร์โต้ อเลเกร บ้านเกิด ในวัย 13 ปี ก่อนที่จะพัฒนามาสู่การเล่นฟุตบอล 11 คน ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักโด่งดังผ่านสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเมื่อสร้างประวัติศาสตร์ยิงประตูในการแข่งขันระดับเยาวชนภายในประเทศได้อย่างถล่มทลาย และหลังจากการเป็นดาวเด่นในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลกอายุต่ำกว่า 17 ปี ก่อนที่ในที่สุด เขาจะได้ร่วมทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมจากในบราซิลจนถึงทวีปยุโรปอย่างเช่นในปัจจุบัน

ก้าวเข้าสู่อาชีพลูกหนัง

1998-2001 : เกรมิโอ

เหยินน้อยเริ่มอาชีพนักเตะ กับสโมสรเกรมิโอ ใน บราซิล ตั้งแต่ปี 1998-2001 ในฐานะนักเตะเยาวชนของสโมสร ก่อนจะได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของสโมสรเป็นครั้งแรกในปี 1998 โดยเกิดขึ้นในเกมลิเบอร์ดาโดเรส คัพ หลังจากนั้นมาเป็นต้นมา ความสามารถของเขาก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างก็พากันตื่นตาตื่นใจไปกับทักษะการควบคุมลูกบอลและความสามารถในการยิงประตูของ โรนัลดินโญ่ ส่งผลให้ในปี 1999 โรนัลดินโญ่ ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 19 ปี เท่านั้น


ดูเหมือนว่า ฟุตบอลในบราซิลกลายเป็นโลกที่เล็กไปสำหรับ โรนัลดินโญ่ ในที่สุดในปี 2001 เขาก็เดินทางมาสู่ยุโรปเซ็นสัญญาค้าแข้ง 5 ปี กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทีมดังในฝรั่งเศส ด้วยวัยเพียง 20 ปีเศษ โดย เปแอสเช ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ เกรมิโอ จำนวน 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 157.5 ล้านบาท) แม้ว่า โรนัลดินโญ่ จะหมดสัญญากับ เกรมิโอ และกลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2001 ก็ตาม

2001-2003 : ปารีส แซงต์ แชร์กแมง

แม้ว่าจะเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์สูงสุด แต่กับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป ทำให้เจ้าเหยินเล็กประสบกับปัญหาในการปรับตัว ทั้งนี้ มีข่าวเป็นระยะๆ ว่า หลุยส์ แฟร์น็องเดซ โค้ชของทีมไม่ค่อยพอใจและมีความเห็นว่า โรนัลดินโญ่ เสียสมาธิไปกับการท่องราตรีมากกว่าที่จะมุ่งมั่นกับเกมฟุตบอล รวมทั้งยังมีปัญหาในเรื่องระเบียบวินัยอีกด้วย อันส่งผลให้ฟอร์มการเล่นก็เจ้าตัวก็ไม่คงเส้นคงวานัก เพราะเมื่อเจอกับทีมใหญ่ โรนัลดินโญ่ จะเล่นได้อย่างโดดเด่น แต่ในทางกลับกัน หากเล่นกันทีมที่เล็กกว่า เจ้าเหยินน้อยก็จะหายไปจากเกม


หลังจากเสร็จศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ทำให้ โรนัลดินโญ่ กลายเป็นทีมต้องการของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป และในปี 2003 โรนัลดินโญ่ ประกาศกร้าวว่าต้องการย้ายออกจาก เปแอสเช หลังจากที่สโมสรไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ประกอบกับการที่เขามีปัญหาขัดแย้งกับเทรนเนอร์ของทีม ซึ่งทำให้หลังจากนั้น มีข้อเสนอมากมายเข้ามาสู่ทีมดังแห่งปารีส ก่อนที่ บาร์เซโลน่า ภายใต้การนำของ โจน ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรคนปัจจุบัน จะทุ่มเงิน 21 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,386 ล้านบาท) เบียดเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัวเหยินน้อยมาสู่ คัมป์ นู จนได้

2003-2008 : บาร์เซโลน่า

โรนัลดินโญ่ เกือบจะไม่ได้ย้ายมาพาบาร์เซโลน่า เพราะหลังจากที่ โจน ลาปอร์ต้า ทนายหนุ่มไฟแรง ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานสโมสรบาร์เซโลน่า ในปี 2003 ด้วยนโยบายที่จะคว้าซูเปอร์สตาร์มาสู่คัมป์ นู ทันทีที่เขาได้รับตำแหน่ง แต่ในตอนแรกนั้น ลาปอร์ต้า ต้องการตัว เดวิด เบ็คแฮม ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษ ที่ตอนนั้นกำลังจะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เดชะบุญที่ เบ็คแฮม ไม่เลือก บาร์ซ่า ทั้งที่ว่ากันว่า แมนฯยูฯ พร้อมจะขายเขามาสู่คัมป์ นู อยู่แล้ว  และโชคดีที่ทาง เรอัล มาดริด คู่ปรับของบาร์ซ่า ก็ต้องการตัวหนุ่มเบ็คส์ เช่นกัน ก่อนที่ เบ็คแฮม จะไปลงเอยกับ รีล มาดริด ทำให้ ลาปอร์ต้า ต้องเบนเข็มมาล่า โรนัลดินโญ่ แทน

ก่อนเริ่มฤดูกาล 2003-2004 บาร์เซโลน่า ทำการเปิดตัวหัวหอกรายใหม่ของทีมในเกมนัดพิเศษที่พบกับ เอซี มิลาน ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 45,000 คน ในสนาม อาร์เอฟเค สเดเดี้ยม ณ กรุงวอร์ชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดย บาร์เซโลน่า เอาชนะไปได้ 2-0 และ ก็เป็น โรนัลดินโญ่ ที่ซัดประตูที่ 2 ได้ด้วย ในนาทีที่ 51 ของเกม ส่งผลประตูนี้กลายเป็นประตูแรกของเจ้าเหยินน้อยในสีเสื้อบาร์ซ่า อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่ฤดูกาลแข่งขัน โรนัลดินโหญ่ ก็มีอาการบาดเจ็บรบกวน และกว่าจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งแต่เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของซีซั่น แต่ก็ไม่ถือว่าสายเกินไป เพราะ โรนัลดินโญ่ โชว์ฟอร์มได้สมราคา ด้วยการพาทีมบาร์ซ่า ได้รองแชมป์ลา ลีกาฤดูกาลแรกในสเปน โรนัลดินโญ่ ได้



ในฤดูกาล 2004-2005 โรนัลดินโญ่ ประสานงานกับ ซามูเอล เอโต้, เดโก้, ชาบี, ลูโดวิช ชูลี่ และ เฮนริค ลาร์สสัน ช่วยให้ทีมบาร์ซ่าประกาศศักดา คว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้ เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมี แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด กุนซือหนุ่มชาวดัตช์ เป็นผู้นำทัพ ด้วยระบบ 4-3-3 อันลือลั่น ส่งผลให้ฤดูกาลนี้เอง โรนัลดินโญ่ ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกจากฟีฟ่า ไปครองในวันที่ 20 ธันวาคม 2004

อย่างไรเสีย โรนัลดินโญ่ ก็ไม่สามารถ บาร์เซโลน่า พาไปได้ไกลในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากที่ โดน เชลซี เขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปอย่างน่าเจ็บใจ แม้เกมนั้น โรนัลดินโญ่ จะโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น โดนทำคนเดียวถึง 2 ประตูก็ตาม ส่งผลให้ชื่อของ โรนัลดินโญ่ ได้กลายเป็นที่หมายปองของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะ เชลซี ที่ตกเป็นข่าวยอมทุ่มถึง 60 ล้านปอนด์ สำหรับค่าตัวของเขา (ประมาณ 3,960 ล้านบาท)

ปลายฤดูกาล 2004-2005 โรนัลดินโญ่ ซึ่งในตอนนั้น สัญญาจะหมดลงในปี 2008 ปฏิเสธที่จะต่อสัญญากับทีม บาร์ซ่า ออกไปจนถึงปี 2014  และในปีถัดมา เขาก็ตัดสินใจต่อสัญญาฉบับกับทีมออกไปเพียง 2 ปี เท่านั้น โดยในสัญญาได้เปิดช่องว่า เขามีสิทธิ์ย้ายออกจากถิ่น คัมป์ นู ได้ หากสโมสรต้นสังกัดได้รับข้อเสนอซื้อตัวในราคา 85 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,610 ล้านบาท)

ในฤดูกาล 2005-2006 โรนัลดินโญ่ ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ด้วยการพาทีม บาร์เซโลน่า ผงาดคว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน  ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยให้ทีม เจ้าบุญทุ่มคว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล ได้ในรอบชิงชนะเลิศ 2-1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2007 พร้อมกับตบท้ายด้วยการที่ โรนัลดินโญ่ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ไปครองอีกหนึ่งรางวัล



ต้องเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จของ โรนัลดินโญ่ เพราะในฤดูกาลนี้ เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ประจำปี 2005 มาครอง ซึ่งถือเป็นการรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันของเขา  นอกจากนั้น ยังคว้ารางวัลบัลลงดอร์ หรือนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป ของนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล มาครองได้  รวมถึงคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หรือ ฟิฟโปร อีกด้วย

ในฤดูกาล 2006-2007 โรนัลดินโญ่ ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย ทั้งในเกมลีก และเกมสโมสรยุโรป อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจพาทีม บาร์ซ่า ป้องกันแชมป์ ลาลีกา สเปน และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ โดยในเกมลีกนั้น พวกกเขาต้องโดน เรอัล มาดริด ฉกถ้วยไปครองได้ในปีนี้ ขณะที่ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นั้น พวกเขาก็ต้องจอดป้ายแค่เพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น หลังจากแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม โรนัลดินโญ่ ก็ยังสามารถช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ สโมสรโลกได้เป็นการปลอบใจหลังขย่ม เอาชนะ คลับ อเมริกาไป 4-0 ในรอบชิงชนะเลิศ และในปีนี้ โรนัลดินโญ่ ยังได้มีโอกาสขึ้นรับรางวัลนักฟุตบอลเยี่ยมของโลกอีกครั้ง แต่ก็ในฐานะอันดับ 3 โดยต้องหลีกทางให้ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ คว้ารางวัลไปครอง ด้วยผลงานกับการคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติอิตาลี ในปี 2006

ฤดูกาล 2007-2008 โรนัลดินโญ่ ไม่ค่อยได้ลงเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า มากนัก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ดี เขาก็กลับมาลงสนามนัดที่ 200 ในทีมบาร์เซโลน่า ได้อีกครั้ง ในเกมที่พบกับ โอซาซูน่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2008 ก่อนที่จะต้องหยุดพักยาวทั้งฤดูกาล หลังได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาขวาอย่างหนักระหว่างการฝึกซ้อม เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2008 พร้อมกับกระแสข่าวการย้ายทีมของ โรนัลดินโญ่ ที่ประทุขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น โดยมีหลายทีมยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น เชลซี, เอซี มิลาน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

2008-ปัจจุบัน : เอซี มิลาน

เอซี มิลาน ทีมดังจากอิตาลี ใช้เงิน 18.5 ล้านยูโร ซื้อตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งเหยินน้อย ปฏิเสธเงินจำนวนมหาศาลในการที่จะย้ายไปร่วมทีม แมนซิตี้ ซึ่งมีบักแม้วเป็นเจ้าของอยู่ในขณะนั้น ที่ทุ่มเงินซื้อถึง 32 ล้านยูโร!! และเข้าๆออกๆระหว่างตัวจริงกับตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง กับทีมเอซี ในปัจจุบัน และเมื่อ กาก้า ถูกขายออกจากทีมไป ก็ทำให้เขา ได้ลงเป็นตัวจริงบ่อยครั้งขึ้น


ทีมชาติบราซิล

โรนัลดินโญ่ เป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่คนของทีมชาติบราซิลที่ติดทีมชาติทุกรุ่นอายุ ไล่ตั้งแต่ ชุดยู-15, ยู-17, ยู-20 และ ยู-23 จนกระทั่ง มาติดทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ใน วันที่ 26 มิถุนายน ปี 1999 และเขาก็แจ้งเกิดได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการยิงประตูชัยให้ทีมเซเลเซาเฉือนเอาชนะเวเนซุเอลา รวมทั้งช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา มาครองได้อย่างงดงามหลังถล่มเอาชนะอุรุกวัยมาได้ในรอบชิงชนะเลิศ 3-0 ก่อนที่เขาจะโชคร้าย อดลงเล่นเกมนัดชิงฯ ในศึก คอนเฟดเดอเรชั่น คัพ 1999 จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ บราซิล พ่ายต่อ เม็กซิโก ไปอย่างน่าเสียดาย 3-4

ในปี 2002 โรนัลดินโญ่ ก้าวสู่จุดสูงสุดจุดหนึ่งของการเป็นนักเตะ ด้วยการพาทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ที่เอเชีย ซึ่งมีเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ สำเร็จ จากสามประสานในเกมรุกที่มีเขา, โรนัลโด้ และ ริวัลโด้ (3 R's) ทำเดินร่วมกัน  โดยไฮไลต์สำคัญของเขา คือ การยิงลูกลักไก่ระยะไกลกว่า 35 เมตร ข้ามหัว เดวิด ซีแมน นายทวารทีมชาติอังกฤษ ในขณะนั้น เป็นประตูชัยให้ บราซิล เอาชนะ อังกฤษ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนจะก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ ในท้ายที่สุด แม้ว่าในแมตช์นั้นเขาจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม จากการไปทำฟาวล์อย่างน่าเกลียดใส่ แดนนี่ มิลล์ส แบ๊กขวาของทีม สิงโตคำรามก็ตาม


ในปี 2005 โรนัลดินโญ่ รับบทสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติบราซิล ลงทำศึก คอนเฟเดอเรชั่นคัพ ปี 2005 และเขาก็นำลูกทีมผงาดคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม ด้วยการเอาชนะ อาร์เจนติน่า ได้อย่างท้วมท้น 4-1 ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2005 และก่อนที่จะมาสู่ศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน ซึ่ง โรนัลดินโญ่ ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นเดิม แต่ทว่า ฟอร์มการเล่นของเขากลับน่าผิดหวังไม่น้อยในสายตาของแฟนบอล โดยเขาไม่สามารถยิงประตูได้เลยในการลงสนาม 5 นัด และยังเป็นคนจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ครั้งเดียวเท่านั้น (ในเกมที่ชนะ ญี่ปุ่น 4-1) ก่อนที่จะโดน ฝรั่งเศส เขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปในท้ายที่สุด

หลังจากสิ้นเสร็จศึกฟุตบอลโลก ที่ประเทศ เยอรมัน  โรนัลดินโญ่ ก็เข้าๆ ออก ในทีมตัวจริงของทีมชาติบราซิล อยู่บ่อยครั้ง โดยเขาลงเล่นภายใต้การคุมทีมของ คาร์ลอส ดุงก้า เทรนเนอร์คนใหม่ไปเพียง 3 จาก 5 เกมที่เป็นทางการเท่านั้น (2 ใน 3 เป็นการเล่นในฐานะตัวสำรอง) อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 24 มีนาคม 2007 โรนัลดินโญ่ กลับมาลงให้กับทีมชาติบราซิล ในฐานะตัวจริงครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2006 ในเกมที่เขาจัดการเหมาสองประตูช่วยให้ บราซิล ถล่มเอาชนะ ชิลี ไปได้ 4-0 และเป็นการหยุดสถิติที่เขายิงประตูในเกมทีมชาติไม่ได้เลยเป็นเวลาเกือบๆ 2 ปี ได้สำเร็จ และในปี 2008 โรนัลดินโญ่ มีชื่อเป็นหนึ่งในนักเตะที่จะติดฟุตบอลทีมชาติบราซิลไปลุยศึกโอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในฐานะโควตา นักเตะอายุเกิน 23 ปี ร่วมกับ ติอาโก้ ซิลวา และ โรบินโญ่ อย่างไรก็ตาม ทางบาร์ซ่า ก็ได้ ออกมาเบรกไม่ให้ เหยินน้อย ไปร่วมทีมในครั้งนี้ แต่ดูเหมือนว่าก็จะไม่เป็นผล

จากการที่ฉายฟอร์มเพชฌาตกับทีมเอซี มิลาน ไม่ได้เลย ทำให้ดุงก้า ไม่เรียกเขาติดทีมชาติ ในศึกคอนเฟด 2009 ล่าสุด ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่า อนาคตของเขา กับทีมชาติ ได้หมดลงแล้ว

ข้อมูลและชีวิตส่วนตัว
โรนัลดินโญ่ มีเอเย่นต์ประจำตัว คือ โรแบร์โต้ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขาที่เคยเดินทางสายลูกหนังเหมือนกับโรนัลดินโญ่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านัน หลังจากที่โรแบร์โต้ ตรวจพบว่า เป็นโรคหัวใจ ขณะที่ พี่สาวของเขา ซึ่งมีนามว่า เดซี่ ก็เป็นผู้ประสานงานกับสื่อต่างๆ ให้กับตัวของ โรนัลดินโญ่


โรนัลดินโญ่ ได้เป็นพ่อคนครั้งแรก ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2005 หลังจากที่ ยาไนน่า นาตเตียลเล่ เวียนา เมนเดส  แฟนชาวชาวบราซิล ให้กำเนิดลูกชาย โดย โรนัลดินโญ่ ตั้งชื่อให้ว่า เจา ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับพ่อบังเกิดเกล้าของเขานั่นเอง

เกียรติประวัติที่ได้รับ

สโมสร

ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท แชมเปี้ยนชิพ : 1999
ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท คัพ : 1999
อินเตอร์ โตโต้ คัพ: 2001
สแปนิช ลีกา: 2005, 2006
ซูเปอร์โคปปา เดอ เอสปาน่า: 2005, 2006
ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก: 2006
ฟีฟ่า เวิร์ลด คัพ 2006: (รองแชมป์)
ทีมชาติบราซิล

ฟีฟ่า ยู-17 เวิร์ลด คัพ : 1997
โคปป้า อเมริกา : 1999
ฟีฟ่า เวิร์ลด คัพ : 2002
คอนเฟดเดเรชั่นส คัพ : 2005
ส่วนตัว

125 อันดับสุดยอดนักฟุตบอลที่ยังมีชีวิตอยู่ของเปเล่
สุดยอดนักเตะระดับโลกของฟีฟ่า : 2004, 2005
ผู้เล่นระดับโลกแห่งปี : 2004, 2005
สุดยอดนักฟุตบอลในทวีปยูโรป : 2005
นักเตะระดับโลกแห่งปี ของฟิฟโปร: 2005, 2006
ติดสุดยอดทีมของฟิฟโปร : 2005, 2006, 2007
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า : 2005-06
ตัวรุกยอดเยี่ยมของยูฟ่า : 2004-05
ติดทีมประจำปีของยูฟ่า : 2004, 2005, 2006
ยอดนักเตะต่างชาติในแดนลา ลีกา: 2004, 2006
รางวัล อีเอฟอี โทรฟี่ : 2004
ติดออลสตาร์ของฟีฟ่า : 2002
รางวัลฟุตบอลสีบรอนซ์ ของฟีฟ่า : 2006
ดาวซัลโว คอนเฟดเดเรชั่น : 1999
บอลทองคำ คอนเฟดเดเรชั่น : 1999
ดาวซัลโว ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท แชมเปี้ยนชิพ : 1999


"ทักษะอันสุดยอดของ เหยิน ตัวน้อยๆ"



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=1QlLZuehOQA