it's me

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

"ยอดนักเตะของโลก"


Lionel  Messi


Lionel Messi

           นับตั้งแต่สิ้นยุคของมหัศจรรย์ลูกหนังอาร์เจนไตน์ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็มีนักเตะพรสวรรค์สายเลือดใหม่มากมายที่ถูกเปรียบเทียบกับเทพเจ้าลูกหนังรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดมาราโดน่า ก็ได้พบกับทายาทที่แท้จริงจนได้กับเจ้าหนูมหัศจรรย์ "ลิโอเนล เมสซี่"
           ลิโอเนล เมสซี่ หรือในชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 เป็นเมสซี่เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า
           เจ้าหนูลิโอเนล หรือ "ลีโอ" เริ่มต้นเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 5 ขวบ และได้อยู่กับสโมสรเล็กๆที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เพื่อเรียนวิชาลูกหนังที่เข้มข้นกว่าเดิม
           เมื่อได้ย้ายมาสู่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ สโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า เส้นทางของเจ้าหนูตัวเล็กรายนี้น่าจะไปได้สวยและมีโอกาสจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคตก้าวสู่เส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยไปร่วมสังกัดนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
           แต่ในขณะที่เมสซี่ กำลังจะไปได้ดี โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาอย่างจัง เมื่อร่างกายที่เล็กเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่นขาดพัฒนาการ ร้อนถึงพ่อต้องจับตรวจและพบว่าเมสซี่ มีปัญหาในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวได้ขาดไป และพ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาที่แสนแพงในอาร์เจนติน่าได้
           ในขณะที่หนทางกำลังจะตีบตัน ครอบครัวเมสซี่ ก็พบกับทางสว่าง เมื่อการ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้และประทับใจกับพรสวรรค์ที่มีเหลือล้นในตัว เรซัค จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ว่าทางบาร์เซโลน่า ยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษาให้แต่ว่าเมสซี่ จะต้องไปอยู่ที่สเปน ครอบครัวเมสซี่ไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่สเปนพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน
           ด้วยพรสวรรค์ ฝีเท้า และความเร็วในตัวเขา ทำให้เจ้าหนูเมสซี่ค่อยๆ ก้าวเป็นดาวเด่นในทีมระดับเยาวชนของบาร์ซ่า ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมบาร์เซโลน่า บี อย่างรวดเร็ว

          เส้นทางชีวิตของเมสซี่ ยังแรงและเร็วเหมือนจรวดทะยานขึ้นฟ้า เพียงแค่ไม่นานเขาก็กลายเป็นตัวหลักในทีมบี และทำผลงานเหลือเชื่อด้วยการยิงไปถึง 37 ประตูจากการเล่นแค่ 30 นัดเท่านั้น ฟอร์มการเล่นระดับนี้ไม่มีทางที่แฟรงค์ ไรจ์การ์ด นายใหญ่ทีม "เจ้าบุญทุ่ม" จะมองไม่เห็น และในปลายฤดูกาล 2004/05 ไรจ์การ์ด ก็เปิดทางให้เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ได้เริ่มต้นลงมาสัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่ ซึ่งเมสซี่ ก็ใช้เวลาไม่นานในการควานหาประตูแรกในนัดที่พบกับอัลบาเซเต้ ซึ่งก็เป็นประตูสุดสวยด้วยการกระดกข้ามหัวผู้รักษาเข้าไป และเป็นประตูที่ทำให้เมสซี่ เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้บาร์ซ่าได้ในวัย 17 ปี 10 เดือนกับอีก 7 วัน
           หลังจากที่ได้ประเดิมเกมกับบาร์ซ่าไปแล้ว เมสซี่ ก็กลับมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า หลังได้ปฏิเสธโอกาสที่จะเล่นให้ทีมชาติสเปนไปก่อนหน้านั้น และในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เนเธอร์แลนด์ เมสซี่ ก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้น เมื่อสามารถร่ายลีลาลูกหนังได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องอุทานว่านี่มันดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เกิดใหม่ชัดๆ ซึ่งในรายการนี้เมสซี่ เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการพาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์และคว้าทั้งรางวัลดาวซัลโวด้วยจำนวน 6 ประตู และยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการด้วย
          ทันทีที่จบรายการดังกล่าว บาร์ซ่า ก็จัดแจงต่อสัญญายาวให้เมสซี่จนถึงปี 2010 ทันที โดยมีเงื่อนไขในการย้ายทีมสูงถึง 150 ล้านยูโร มากกว่าโรนัลดินโญ่ รุ่นพี่ที่เป็นนักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกถึงกว่า 30 ล้านยูโรเสียอีก
และหลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 4 ส.ค.2005 เมสซี่ ก็ถูกโฮเซ่ เปเกร์มาน เทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ทันทีและได้ลงสนามนัดแรกทันทีในเกมกับทีมชาติฮังการี
แต่ก็เป็นเกมประเดิมสนามที่เลวร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับเมสซี่ เมื่อถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้นหลังลงเล่นเนื่องจากผู้ตัดสิน มาร์คุส แมร์ก เห็นว่าไปชักศอกใส่วิลมอส วานซัค กองหลังทีมแม็กยาร์ที่พยายามดึงเสื้ออยู่ ทำให้เจ้าหนูมหัศจรรย์ต้องเดินออกจากสนามทั้งน้ำตา
           อย่างไรก็ตาม เมสซี่ ไม่ได้ท้อแท้มากนักและกลับมาลงสนามใหม่ให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับปารากวัย ในวันที่ 3 ก.ย. 2005 ซึ่งแม้จะได้เล่นเพียง 8 นาทีและแพ้ด้วยสกอร์ 1-0 แต่เมสซี่ ก็ถือว่านัดนี้เป็นการลงเล่นนัดแรกครั้งใหม่ของเขาในสีเสื้อฟ้าขาว
ถัดมาไม่นานในวันที่ 25 ก.ย. เมสซี่ ก็ได้เป็นพลเมืองของประเทศสเปน ทำให้สามารถที่จะลงสนามให้กับทีมบาร์เซโลน่าได้อย่างไม่ติดขัดอีก หลังต้องอดทนรอข้างสนามมานานนับเดือนเนื่องจากทีมบาร์ซ่า มีนักเตะนอกโควต้าอียูเกินที่กำหนดแล้ว และเมสซี่ ก็ก้าวมาเป็นกำลังหลักในทีมของไรจ์การ์ดทันที ในฐานะสามเหลี่ยมมหัศจรรย์ร่วมกับซามูแอล เอโต้ และโรนัลดินโญ่ นำบาร์ซ่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่
ในปีนี้เมสซี่ ยังได้รับรางวัลโกลเด้น บอย จากนิตยสารตุตโต้ สปอร์ตด้วย และชื่อของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ก็เป็นที่กล่าวขานกันในวงการฟุตบอล ซึ่งแทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักลิโอเนล เมสซี่


           แต่ในปี 2006 เมสซี่ พบกับช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวังเนื่องจากอาร์เจนติน่า ต้องร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพเยอรมัน แต่ตัวเขาเองก็พอจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยโดยยิงได้ 1 ประตูในเกมกับเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6-0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้
           หลังจากนั้น เมสซี่ เกิดโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับแวร์เดอร์ เบรเมน ถึงขั้นกระดูกเท้าแตกจนต้องพักการเล่นมาอย่างยาวนานหลายเดือนนับจากนั้น
อย่างไรก็ตาม เมสซี่ กลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อทำแฮตทริกได้ในเกม "เอล กลาซิโก้" กับทีมเรอัล มาดริด ในนัดที่เสมอกับบาร์เซโลน่า 3-3 ที่คัมป์ นู ซึ่งทำให้เมสซี่ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบนับสิบปีที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้
นับตั้งแต่อีวาน ซาโมราโน่ ทำไว้เมื่อปี 1994-95 และหากนับของบาร์ซ่า ก็เป็นคนแรกตั้งแต่โรมาริโอ ทำได้เมื่อปี 1993-94 เลยทีเดียว และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ด้วย
           แต่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมสซี่ เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อทำได้คนเดียว 2 ประตูในเกมโคป้า เดล เรย์ กับเคตาเฟ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประสุดอัศจรรย์ด้วยการลากเดี่ยวจากครึ่งสนามฝ่าผู้เล่นเคตาเฟ่ 6 คนเข้าไปทำประตูอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นประตูที่แทบจะถอดแบบประตูแห่งศตวรรษที่มาราโดน่า ทำได้ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติอังกฤษ ที่ถือเป็นประตูในตำนานตลอดกาลของฟุตบอลโลกเลยทีเดียว

          หลังจากนั้นได้มีการนำสองประตูที่ว่ามาเปรียบเทียบกันแบบช็อตต่อช็อต และพบว่าเป็นประตูที่มาจากพิมพ์เดียวกันจริงๆทั้งจำนวนระยะทางที่เท่ากัน (62 เมตร) และยังเป็นการเลื้อยผ่านผู้เล่นเท่ากันคือ 6 คน (รวมผู้รักษาประตู) ยิงประตูจากมุมเดียวกัน แถมยังวิ่งไปฉลองการทำประตูที่มุมธงเหมือนที่มาราโดน่าทำอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมาราโดน่า แปด้วยเท้าซ้าย ส่วนเมสซี่ ยิงหักข้อด้วยเท้าขวา


           หนังสือพิมพ์ในสเปนถึงกับให้ฉายาใหม่แก่เมสซี่ว่า "เมสซี่โดน่า" ทีเดียวกับตำนานบทใหม่นี้ และทุกฝ่ายก็ต่างจับตามองเส้นทางของเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้
            นอกเหนือจากการลากเลี้ยงสไตย์บาร์เซโลนาแล้ว ผลงานของเมสซี่ในช่วง 2007-2008 ไม่ค่อยมีใครจดจำนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทางทีมต้นสังกัด บาร์เซโลนา ไปไม่ถึงไหน ตกรอบทุกรายการรวมถึงโดนทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง เรอัล มาดริด แย่งแชมป์ไปด้วย ทำให้ไม่เป็นที่จับตามองเท่าไหร่นัก
            จนกระทั่งการเข้ามาคุมทีมของ โจเซ็ป กวาดิโอลาร์ และการจากไปของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ โรนัลดินโญ่ เป๊บ กุนซือคนใหม่ ทำอีท่าไหนไม่มีใครทราบ ส่งให้เจ้าหนูตีนระเบิดจากอาร์เจนตินา ยิงไปในฤดูกาลเดียวทั้งสิ้น 38 ประตู จ่ายให้ยิงอีก 18 ในจำนวนการลงสนามทั้งสิ้น 51 นัด!!! มีส่วนช่วยให้ทีมเจ้าบุญทุ่ม คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลที่ 2008/09
          
เกียรติยศระดับทีมชาติ
ทีมชาติอาร์เจนตินา
: แชมป์ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี : 2005
: เหรียญทองโอลิมปิก ปี 2008
: รองแชมป์ โคปปาอเมริกา 2007


เกียรติยศระดับสโมสร
ทีมบาร์เซโลน่า
: แชมป์ลาลีกาสเปน : 2004-05, 2005-06, 2008-09
: แชมเปียนส์ลีกยูฟ่า : 2005-06,  2008-09
: แชมป์โคปปา เดลเรย์ : 2008-09
: แชมป์ซูปเปอร์โคปา สเปน Supercopa de Espana : 2005, 2006


เกียรติยศส่วนตัว
: นักเตะยอดเยี่ยม (Golden Ball) ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี : 2005
: ดาวซัลโว (Golden Boot) ฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี : 2005
: นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม (Golden Boy) : 2005
: นักเตะอาร์เจนตินาแห่งปี (Olimpia de Plata) : ปี 2005
: นักเตะดาวรุ่งแห่งปีของฟีฟ่า (FIFPro) : 2006

ที่มา : http://www.sport-idol.com/23/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87--%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%A5-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%88/


 

"เกินคำบรรยาย"





ที่มา: http://www.youtube.com/watch?v=wA6kwK7D4Ok
















Cristiano Ronaldo


"จอมสับ"




          คริสเตียโน โรนัลโด (โปรตุเกส: Cristiano Ronaldo) ชื่อเต็มว่า กริชเตียนู รูนัลดู ดูช ซังตูช อาไวรู (โปรตุเกส: Cristiano Ronaldo dos Santos Aveiro) เป็นนักฟุตบอล ชาวโปรตุเกส ปัจจุบันสังกัดสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด สวมเสื้อหมายเลข 7 และย้ายไปด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก
ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 มีการจัดอันดับตำแหน่งนักเตะรูปงามแห่งยูโร 2008 จัดทำโดยแอลจี บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า คริสเตียโน โรนัลโดได้รับคะแนนโหวตครั้งนี้เป็นอันดับ 1[2]
เนื้อหา  [ซ่อน]

ประวัติ

คริสเตียโน โรนัลโด เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ที่เกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรชายของนายชูเซ ดีนิช อาไวรู (เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2548 ขณะมีอายุ 52 ปี) กับนางมาเรีย ดูโลริช อาไวรู เป็นบุตรชายคนเล็กในพี่น้อง 4 คน ถึงแม้ตอนเกิดเขาจะคลอดก่อนกำหนดแต่ก็มีน้ำหนักสมบูรณ์ถึง 8 ปอนด์
ที่มาของชื่อโรนัลโดนั้น บิดาของเขาเป็นผู้ตั้งให้ โดยได้แรงบันดาลใจจากชื่อของ นายโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบุคคลที่บิดาของโรนัลโดชื่นชอบตั้งแต่เรแกนยังเป็นนักแสดงอยู่[3]
ครอบครัวของโรนัลโดอาศัยอยู่ที่ย่านกิงตาดูฟาลเซา เขตซังตูอังตอนีอูของเมืองฟุงชาล ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรยากจนอาศัยอยู่มาก โรนัลโดเริ่มเล่นฟุตบอลที่นี่ ซึ่งในตอนเด็กเขาจะชอบเล่นฟุตบอลมาก บริเวณตามถนน พอตอนเขาอายุ 6 ขวบ เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในทีมชุดใหญ่ของ ทีม Andorinha โดยการชักชวนของญาติเขาที่อยู่ในทีมนี้ พอถึงปี พ.ศ. 2538 โรนัลโดย้ายไปอยู่กับทีม Nacional โดยมีการจ่ายค่าตัวเป็นชุดฟุตบอลและลูกบอล[4]
นักฟุตบอลอาชีพ

เมื่ออายุ 12 ปี โรนัลโดได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่ ๆ ของโปรตุเกสมากมาย โรนัลโดเลือกค้าแข้งกับสปอร์ติงลิสบอน ทีมโปรดของตัวเอง จนอายุ 17 ปี โรนัลโดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของสปอร์ติงเป็นครั้งแรก แล้วก้าวไปติดทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุต่ำกว่า 17 ปีในศึกชิงแชมป์ยุโรป
โรนัลโดมีจุดเด่นที่มีทักษะในการครองบอลและมีความคล่องตัวสูง ด้วยจุดนี้เอง ทำให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้สนใจที่จะนำโรนัลโดมาร่วมทีม และแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้คว้าตัวโรนัลโดไปร่วมทีมได้สำเร็จ ด้วยค่าตัว 12.5 ล้านปอนด์ ในฤดูกาล 2003-2004 โรนัลโดใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ชิพ และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพกับมิลล์วอลล์ ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04


คริสเตียโน โรนัลโด เล่นในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
โรนัลโดกับการพาทีมชาติโปรตุเกสผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกยูโร 2004 ก่อนพ่ายให้กับ กรีซ
ในฤดูกาลที่ 2 ของโรนัลโดกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ฟอร์มไม่ดีเท่ากับปีแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยการลงสนาม 50 นัด แต่ทำได้แค่ 9 ประตู ในฤดูกาล 2005/06 โรนัลโดก็เรียกฟอร์มเก่งของตัวเองมาได้อีกครั้งในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ด้วยการทำ 12 ประตู จากการลงสนาม 47 นัด
โรนัลโดคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของฟิฟโปร (FIFPro Special Young Player of the Year 2005) ซึ่งเป็นรางวัลเดียวที่ให้แฟน ๆ เป็นผู้ลงคะแนนโหวตตัดสิน และในปีเดียวกันเขาก็ได้อันดับที่ 20 ในตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าด้วย
ในศึกฟุตบอลโลก 2006 โรนัลโดถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้เวย์น รูนีย์ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส โรนัลโดถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า อย่างไรก็ดีโรนัลโดยังคงเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[5]
เมษายน 2007 คริสเตียโน โรนัลโด คว้ารางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยม และผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2007 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษหรือพีเอฟเอไปครอง โดยเป็นผู้เล่นรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครอบครองในเวลาเดียวกัน หลังโชว์ฟอร์มสุดยอดมาตลอดฤดูกาลนี้โดยก่อนหน้านี้ แอนดี เกรย์ เคยทำได้เมื่อปี 1977 หรือ ราว 30 ปีก่อน [6]
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดยอมรับว่า ได้รับข้อเสนอการซื้อตัวจากสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริด ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งก็ปรากฏว่าโรนัลโดก็มีความต้องการที่จะออกจากคลับเช่นกัน โดยเขาได้ตกลงย้ายออกไป การซื้อตัวครั้งนี้ถือเป็นสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลก[7]
งานอื่น

ด้วยความสามารถและความโด่งดัง จึงมีเอเย่นต์สนใจเขามาเป็นพรีเซนเตอร์อยู่หลายชิ้น ภาพลักษณ์ของโรนัลโดสร้างความสำเร็จให้กับการตลาดมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น วิดีโอเกมต่าง ๆ ไปจนโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ความหล่อเหลาของเขาก็ยังทำให้เขาได้รับการติดต่อจากนิตยสารแฟชั่นอีกด้วย นิตยสารโวกของอเมริกา นำเสนอเขาไปเป็นแบบปก และเขายังเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์รองเท้ากีฬาอย่าง ไนกี้ โดยทางไนกี้เล็งเห็นว่าโรนัลโดมีฝีเท้าที่เป็นนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก จึงได้คุยกับโรนัลโดเพื่อผลิตรองเท้าที่เบา พัฒนารองเท้า รองเท้ารุ่น Mercurial Vapor ออกมา[8][4]
ชีวิตส่วนตัว

พ่อของโรนัลโดเป็นผู้อำนวยการสโมสรฟุตบอลเล็ก ๆ ที่ชื่ออันโดนีญา และพ่อเขาขอให้กัปตันทีมที่ชื่อ Fernao Sousa เป็นพ่อทูนหัว ส่วนแม่ของเขามีอาชีพเป็นแม่ครัว โรนัลโดช่วยเหลือครอบครัวเป็นอย่างดี ช่วยพี่สาวคนโตเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่มาเดร่า ส่วนพี่สาวอีกคน คาเทีย เป็นนักร้อง มีวงดนตรีชื่อ "Ronalda"[4]
โรนัลโดประกาศว่าเขาได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 โดยประกาศในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของเขา โดยพูดว่า เขาได้ลูกชายและต้องการความเป็นส่วนตัว โดยลูกชายของเขาชื่อว่า คริสเตียโน โรนัลโดย จูเนียร์ ที่กำเนิดมาจากหญิงนิรนาม[9] โดยเขาได้รับสิทธิในการดูแลเด็กอย่างสมบูรณ์[10] ภายใต้การดูแลจากแม่ของโรนัลโดและพี่สาว[11]
เกียรติยศที่ได้รับ

เกียรติยศร่วมกับสโมสร
แชมป์ เอฟเอ คัพ ปี 2004
แชมป์ คาร์ลิ่ง ลีก คัพ ปี 2006
แชมป์ พรีเมียร์ชิพ ปี 2006 - 2007
แชมป์ พรีเมียร์ชิพ ปี 2007 - 2008
แชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ปี 2008
แชมป์ สโมสรโลก ปี 2008
แชมป์ คาร์ลิ่ง ลีก คัพ ปี 2009
แชมป์ พรีเมียร์ชิพ ปี 2008 - 2009
เกียรติยศเฉพาะตัว
นักกีฬาดาวรุ่งยอดเยี่ยมของโปรตุเกส ปี 2002
รองแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2004
หนึ่งในสมาชิกทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า ประจำปี 2004
ผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาพันธ์นักฟุตบอลอาชีพ ปี 2005
รางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยม และผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2007 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ
รองเท้าทองคำ (ดาวซัลโวสูงสุด) ปี 2008
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟิฟโปร ปี 2008
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ปี 2008
ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2008 ของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ


ที่มา:http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%99_%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%94



"จอมสับสะท้านโลก"



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=KTMmYemGEMc&feature=player_embedded















Wayen Rooney




"หมูบิน"ยิงทุกท่า



          ถ้าจะเอ่ยถึงความหวังสูงสุดของชาวอังกฤษในเวลานี้ คงจะหนีไม่พ้นเวย์น รูนี่ย์ กองหน้าเจ้าของร่างอวบอั๋นที่หลายคนแซวว่า "หมู" แต่ฝีเท้าจริงๆ นอกจากจะไม่ใช่หมูธรรมดาแล้ว รูนี่ย์ ยังดุดันไม่ต่างจาก "หมูป่า" อีกด้วย!

         เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ 1 ใน 3 ลูกชายของบ้านรูนี่ย์  เป็นนักเตะที่มีความมหัศจรรย์มากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้ เหนือยิ่งกว่าไมเคิล โอเว่น กองหน้ามหัศจรรย์ของทีมลิเวอร์พูลเสียอีก และที่ตลกร้ายไปกว่านั้นคือทั้งคู่แจ้งเกิดในสโมสรร่วมเมืองเดียวกัน แต่เป็นคนละสี

         โอเว่น คือขวัญใจสีแดงของลิเวอร์พูล ขณะที่รูนี่ย์ คือความภาคภูมิใจของชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนสีน้ำเงิน

         รูนี่ย์ มีบ้านเกิดอยู่ในย่านคร็อกซ์เทธ และได้รับแรงบันดาลใจในการฝากตัวเป็นสาวกท๊อฟฟี่เม็นจากครอบครัว และยังคงมีใจให้กับเอฟเวอร์ตันเสมอ โดยภาพที่ประทับใจผู้คนคือการสวมเสื้อยืดที่พิมพ์ลายสกรีนว่า "Once a blue, Always a blue"

         แน่นอนว่าด้วยความรักที่มีต่อเอฟเวอร์ตัน ทำให้เจ้าหนูรูน มีความปรารถนาที่จะสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มลงเล่นในสนามกูดิสัน ปาร์ค ต่อหน้าชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนทั้งผอง และฝันนั้นของรูนี่ย์ ก็เริ่มมีเค้าลางความจริงเมื่อเขาได้รับการเซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นในทีมเยาวชนในวันเกิดอายุครบรอบ 11 ปี อันเป็นผลพวงมาจากผลงานที่โดดเด่นสุดๆในสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียน ลิเวอร์พูล สคูลบอยส์ และทีมเยาวชนเดอะ ไดนาโม บราวนิ่งส์

         หลังจากนั้นรูนี่ย์ ก็ใช้เวลาขัดเกลาตัวเองอยู่ในรั้วหัวใจของชาวกูดิสัน ปาร์ค และรอเวลาที่จะเปล่งประกายเป็นดาวจรัสแสงดวงใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ



         ชีวิตบางครั้งก็เหมือนเทพนิยาย และความสำเร็จก็อาจมาโดยไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้ ซึ่งเรื่องราวบทแรกในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาก็ต้องถูกจารึกไว้ เมื่อกลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกได้ด้วยวัยเพียง 16 ปีกับอีก 360 วัน (ก่อนที่จะโดนแซงหน้าไปอีก 2 ครั้ง) ในวันที่ 19 ต.ค. 2002

         แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือประตูแรกของรูนี่ย์ มีความหมายอย่างยิ่งเพราะเป็นประตูในช่วงนาทีสุดท้ายที่ช่วยให้เอฟเวอร์ตัน เอาชนะอาร์เซนอล ที่ไม่เคยแพ้ใครมา 30 เกมได้สำเร็จ และยังเป็นประตูสุดสวยด้วยการปั่นไซด์โค้งระยะกว่า 30 หลาเข้าสามเหลี่ยมมุมบนแบบสุดอัศจรรย์อีกด้วย

        นับตั้งแต่นั้นมา รูนี่ย์ ก็ถูกจับตามองจากสื่อมวลชนในอังกฤษ และได้รับการยกย่องให้เป็นวันเดอร์คิดคนใหม่ของวงการฟุตบอล และได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี 2002 ด้วยเมื่อจบฤดูกาลแรก

         แต่ชีวิตของรูนี่ย์ ก็ประสบปัญหาในฤดูกาลต่อมา เมื่อเอฟเวอร์ตัน มีผลงานตกต่ำลงอย่างน่ากลัว ขณะที่รูนี่ย์ เองก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มการเล่นที่ดร็อปลงไปมาก รวมทั้งยังเริ่มมีพฤติกรรมในทางที่ไม่เหมาะสมเช่นการไปเที่ยวสถานเริงรมย์และมีรสนิยมชอบสาวงามเมืองที่มากประสบการณ์เป็นต้น

         อย่างไรก็ดี คนเมื่อถูกฟ้าลิขิตมาให้เป็นดาวประดับฟ้า อะไรจะมาหยุดนักเตะที่มีพรสวรรค์สูงสุดอย่างรูนี่ย์ได้

         รูนี่ย์ กลับมาแจ้งเกิดได้อย่างยิ่งใหญ่แบบเต็มตัวในช่วงศึกยูโร 2004 โดยได้ถูกเรียกตัวจากสเวน โกรัน เอริคส์สัน ให้เข้ามาติดทีมชาติ โดยมีไมเคิล โอเว่น สตาร์รุ่นพี่เป็นคู่หู ซึ่งก่อนหน้านั้นรูนี่ย์ เคยถูกเรียกตัวติดทีมชาติมาเป็นเวลาปีเศษแล้ว โดยเกมแรกที่ได้ลงเล่นในสีเสื้อสิงโตคำรามคือเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติออสเตรเลีย ในวันที่ 12 ก.พ. 2003 และเป็นอีกครั้งที่ทำสถิติเป็นผู้เล่นทีมชาติอังกฤษที่อายุน้อยที่สุด (ก่อนจะโดนธีโอ วัลค็อตต์ วันเดอร์คิดคนต่อมาทำลายในปีกลาย)

         ในยูโร 2004 ที่โปรตุเกส รูนี่ย์ สามารถผลิตผลงานระดับเทวดาเรียกพี่ได้ และเป็นแกนนำคนสำคัญในทีมไปอย่างไม่น่าเชื่อ กลบรัศมีของดาวเด่นอย่างโอเว่นลงสนิท ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน กล้าหาญ และเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการเล่น

         รูนี่ย์ ยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปด้วยเมื่อทำได้ 2 ประตูในเกมกับสวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ถูกโยฮัน ฟอนลันเธน กองหน้าทีมชาติสวิสแก้ตัวคืนได้ในอีก 4 วันถัดมา

         ฟอร์มการเล่นอันโดดเด่นของรูนี่ย์ ทำให้ทีมชาติอังกฤษมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในเวทีระดับชาติอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ต้องฝันสลายเมื่อรูนี่ย์ เกิดได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับโปรตุเกส จนต้องเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ก่อนที่ทีมสิงโตคำรามจะตกรอบด้วยการพ่ายจุดโทษ

         อาการบาดเจ็บของรูนี่ย์ มีการเปิดเผยว่าเป็นอาการกระดูกเท้าแตก และต้องพักรักษาตัวอีกหลายเดือน แต่มันก็กลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทีมต่างๆที่จะตามล่าเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้ไปร่วมทีม ขณะที่เอฟเวอร์ตัน ต้นสังกัดพยายามสุดชีวิตเพื่อจะปกป้องสมบัติล้ำค่าของแฟนบอลเอาไว้ให้ได้

        แต่ถึงจะรักเอฟเวอร์ตันแค่ไหน รูนี่ย์ ก็ไม่สามารถปฏิเสธโอกาสที่จะได้เติบโตก้าวหน้าไปอีกหลายก้าวกับทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ ซึ่งแม้ว่าเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะต้องยอมเสี่ยงซื้อนักเตะที่ยังบาดเจ็บอยู่มาด้วยค่าตัวถึงกว่า 27 ล้านปอนด์ แต่รูนี่ย์ ก็ได้ตอบแทนความไว้วางใจด้วยผลงานเหนือเมฆในเกมแรกที่ลงสนามด้วยการยิงแฮตทริกทันทีในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก



        กระนั้นฟอร์มการเล่นของเขาก็ยังไม่ค่อยมีความสม่ำเสมอมากนัก เนื่องจากแมนฯ ยูไนเต็ด เองก็มีปัญหาความไม่ลงตัวโดยเฉพาะรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าตัวค้ำที่มีปัญหาคาใจกับทางคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกดาวรุ่งของทีมจนเป็นชนวนบาดหมางและลงเอยที่กองหน้าชาวฮอลแลนด์ ที่เป็นดาวซัลโวประจำทีมต้องย้ายออกไปในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา

        แต่การย้ายออกไปของฟาน นิสเตลรอย กลับเป็นผลดี เมื่อรูนี่ย์ ได้มีบทบาทในฐานะหัวใจสำคัญในเกมรุกอย่างจริงจัง โดยมีหลุยส์ ซาฮา เป็นคู่หูคนใหม่ที่เข้าขากันได้ดี รวมถึงโรนัลโด้ ที่เคยมีข่าวหมางใจกันในช่วงฟุตบอลโลก 2006 ก็จับมือผนึกกำลังกันได้อย่างน่ากลัว

        สำหรับฟุตบอลโลก 2006 นั้นเป็นอีกครั้งที่รูนี่ย์ ต้องผิดหวังด้วยฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ เนื่องจากก่อนหน้าจะเริ่มฟุตบอลโลกที่เยอรมันไม่ถึง 2 เดือน เกิดได้รับบาดเจ็บกระดูกเท้าแตกที่เดิมและต้องเร่งรักษาตัวท่ามกลางการเอาใจช่วยของแฟนบอลชาวผู้ดี แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน

        ขณะที่ตัวเก๋าๆ อย่างพอล สโคลส์ และไรอัน กิ๊กส์ ก็เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อีกครั้งจนพลพรรคอสูรแดงไล่ต้อนคู่แข่งทั่วราชอาณาจักรและมีลุ้นประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพอีกครั้งในฤดูกาลนี้

        โดยที่มี "คิง" คนใหม่ของโอลด์ แทรฟฟอร์ด อย่างเวย์น รูนี่ย์ เป็นกำลังสำคัญ ..

        ฤดูกาลที่ 2008/09 ในขณะที่แดนหน้าของผีแดง มีทั้งคาร์ลอสเตเบซ และ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอพ เป็นตัวเลือก รวมถึง โรนัลโด้ที่ท่านเซอร์จับลงเล่นเป็นกองหน้าในบางครั้ง แต่รูนีย์ ก็ยังเป็นตัวเลือกหลัก ของทีมอยู่ดี



ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : เวย์น รูนี่ย์
วันเกิด : 24 ตุลาคม 1985
เกิดที่ : ลิเวอร์พูล ,อังกฤษ
ตำแหน่ง : กองกลางตัวรุก ,กองหน้า
ส่วนสูง : 178 ซม.
ฉายา : รูนัลโด้ ,Shrek ,Wazza ,Mickey
สโมสรปัจจุบัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
หมายเลขเสื้อ : 10

สโมสรอาชีพ
ปี สโมสร ลงเล่น ประตู
2002 - 2004 เอฟเวอร์ตัน 67 15
2004 - ปัจจุบัน แมนฯ ยูไนเต็ด 238 97
ทีมชาติ
2003 - ปัจจุบัน อังกฤษ 52 24
ที่มา:http://www.sport-idol.com/54/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B9%8C/



สุดยอด"หมูบิน" แห่งผีแดง




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=E3ONVJUVIGo&feature=player_embedded















Zlatan  Ibrahimovic


"ยักษ์ใหญ่ตีนระเบิด"



          เป็นกองหน้าฝีเท้าดีคนหนึ่งของยุโรป ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับ "ม้าลาย" ยุเวนตุส สโมสรดังจากอิตาลี เกิดวันที่ 3 ตุลาคม ปี 1981 โดยกำลังจะอายุครบ 25 ปีแล้ว ฟังชื่ออาจดูไม่เหมือนคนทางฝั่งยุโรป เนื่องจากพ่อแม่ของเขาเป็นชาวบอสเนียที่อพยพมาอยู่ในประเทศสวีเดน แต่ทว่า ซลาตัน ก็เกิดและเติบโตในย่านใกล้กับเมือง มัลโม้ นั่นคือ โรเซนการ์ด ซึ่งส่วนใหญ่จะที่อยู่อาศัยของผู้อพยพ

เขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ สมัยเป็นเยาวชนเคยเล่นอยู่กับ เอฟบีเค บัลคาน ก่อนจะมาเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับสโมสรดังของบ้านเกิด มัลโม้ เอฟเอฟ ในฤดูกาล 1999-2000 โดยในช่วงนั้น อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือชาวฝรั่งเศส ประทับใจฝีเท้า ถึงขนาดชักชวนมาอยู่กับ อาร์เซนอล แต่ทว่าต้นสังกัดก็ไม่ยอมปล่อยตัวออกมา

นอกจาก เวนเกอร์ ก็ยังมี ลีโอ บีนฮักเกอร์ กุนซือมือดี ที่ปัจจุบันคุมทีมชาติตรินิแดด และโตเบโก อยู่ ก็แสดงความสนใจในตัวเขาอยู่เหมือนกัน หลังจากได้เห็นฝีเท้าระหว่างลงฝึกซ้อมที่สเปน แต่ก็สายเกินไป เพราะต้นสังกัดตกลงขายเขาไปให้กับ อาร์แจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม สโมสรในดังในพรีเมียร์ดัตช์ ด้วยราคา 7.8 ล้านยูโร (ราว บาท) ราวเดือน ก.ค. ปี 2001 เรียบร้อยแล้ว



โดยภายใต้การดูแลของ โค อาเดรียนเซ่ กองหน้าชาวสวีดิช ดูเหมือนจะไม่ได้ลับฝีเท้าเท่าที่ควร จนกระทั่งได้ลืมตาอ้าปาก หลังจากที่ โรนัน คูมันน์ เข้ามาเก้าอี้นายใหญ่คนใหม่ และก็สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้สำเร็จเสียด้วย เรียกว่าเป็นกองหน้าเบอร์ 1 ที่กุนซือขาดไม่ได้

แต่ชีวิตของเขาก็ต้องพลิกผันอีกครั้งในวันที่ 31 ส.ค. 2004 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของกำหนดเส้นตายการซื้อขายนักเตะในช่วงซัมเมอร์ ซลาตัน ย้ายมาอยู่ในถิ่น เดลเล่ อัลปิ ของ ยูเวนตุส ด้วยค่าตัวสูงถึง 19 ล้านยูโร (ราว 950 ล้านบาท) แม้ว่าเพิ่งจะย้ายได้เพียงครึ่งฤดูกาลหลัง แต่เขาก็โชว์ฟอร์มถล่มประตูได้เป็นกอบเป็นกำถึง 16 ลูก พร้อมกับเบียด อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ กองหน้าจอมเก๋า ตกขอบกลายเป็นตัวสำรองไปโดยปริยาย



จากฟอร์มที่สุดยอด ทำให้มีข่าวออกมาว่า "ม้าลาย" ได้ปฏิเสธข้อเสนอจาก "ราชันชุดขาว" รีล มาดริด แม้ว่าจะสูงลิบลิ่วถึง 70 ล้านยูโร (ราว บาท) ก็ตาม ทำให้เขายังคงค้าแข้งอยู่ในลีกอิตาลีต่อไป จากนั้นก็ได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2004/05 จากแฟนบอล ยูเวนตุส อีกด้วย พร้อมกับได้อันดับ 8 ของรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปี 2005 ของฟีฟ่าด้วย เท่านั้นไม่พอ รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสวีเดน (กัลด์โบเลน) ยังตกเป็นของเขาด้วย

แน่นอนว่าเกียรติยศมากมายขนาดนี้มาจากฝีเท้าอันสุดยอดของเขานั่นเอง โดยเฉพาะผลงานในทีมชาติที่รับใช้มาแล้วถึง 30 นัด ซัดไปแล้ว 14 ประตู โดยสวมเสื้อทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2001 นั่นหมายความว่าเขามีประสบกาณร์ในมัวนาเมนต์ใหญ่ อย่าง ฟุตบอลโลก 2002 และยูโร 2004 ด้วย

แต่แล้ว ในปี 2006 เกิดจุดพลิกผัน เมื่อยูเวนตุส  ถูกปรับตกชั้นข้อหาล้มบอล!!! หล่นร่วงไปเล่นในเซเรียบี ทำให้ผู้เล่นย้ายทีมกันเป็นแทบ ซึ่งแน่นอน กองหน้าตัวฉกาจอย่างเขา ย่อมต้องมีทีมยื้อแย่งตัวกันใหญ่ และก็เป็นทีม งูใหญ่ อินเตอร์ มิลาน ไปได้ตัวเขาไป จนถึงปัจจุบัน



สามฤดูกาลที่ซลาตันอยู่กับอินเตอร์ เขาลงเล่นทั้งหมด 116 นัด ทำได้ 66 ประตู โดยเพาะฤดูกาลที่2008/09 ทำได้ในเซเรียอาร์ 25 ลูก คว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง

และในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2009/10 บาร์เซโลน่า ซึ่งต้องการปล่อยตัว ซามูเอล เอโต้ ออกไปอยู่แล้ว ได้บรรลุข้อตกลง ในการยื่นตัวเอโต้บวกเงิน แลกตัวซลาตัน มายังถิ่นคัมป์ นู แทนแล้ว โดยเปิดตัวกับทีมใหม่เมื่อวันที่ 28 กรกฏาคม

"เจ้ายักษ์ ยิงไม่ยั้ง"



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=O2q8slUNF64&feature=player_embedded












Zinedine  Zidane


"ฟุตบอลเป็นอวัยวะส่นหนึ่งในร่างกายของ ซีเนอดีน ซีดาน"



                ซีเนอดีน ซีดาน ถือเป็นอดีตนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนัง ซีดาน หรือ ที่รู้จักในชื่อเล่นว่า “ซิซู” เป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรีย โดยเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมชาติฝรั่งเศสชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1998 และ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000

นอกจากนี้ ความสามารถทางลูกหนังของเขายังได้รับการการันตีจากรางวัล “โกลเด้นบอล” ภายหลังสวมบทกัปตันทีมพาทัพ “เลส์ เบลอส์” ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศศึก ฟุตบอลโลก ปี 2006 ที่ เยอรมัน ได้สำเร็จ ทว่าการปิดฉากชีวิตลูกหนังของเขากลับไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างผลงานที่เขาสั่งสมไว้ หลังจากที่ ซีดาน บันดาลโทสะ ใช้หัวโหม่งมาร์โก มาร์เตรัซซี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี ในแมตช์ดังกล่าว จนเป็นประเด็นถกเถียงใหญ่โตในช่วงนั้น

เริ่มต้นอาชีพฟุตบอล

1988-1996 : กานส์ และ บอร์กโดซ์

 
ซีดาน อัจฉริยะลูกหนังเชื้อสายแอลจีเรียผู้นี้ เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ปี 1972 ที่เมืองมาร์กเซย ประเทศฝรั่งเศส โดยเขาเริ่มต้นอาชีพลูกหนังจากการเล่นอยู่ตามท้องถนนในเมืองมาร์กเซย ตามประสาเด็กทั่วไป จนในตอนที่หนูน้อยซีดาน มีอายุได้ 14 ปี พรสวรรค์ของเขาก็ไปเตะตาแมวมองของสโมสรกานส์ ที่มาชักชวนให้เขาไปเข้าโรงเรียนลูกหนังฝึกฝนฝีเท้ากับทางสโมสร

   ในที่สุด ซีดาน ได้กลายเป็นสมาชิกทีมชุดใหญ่ของกานส์ ตั้งแต่ตอนที่อายุยังไม่ถึง 17 ปี โดยในฤดูกาล 1990/1991 เขาก็เป็นตัวจริงของทีมได้แล้ว แม้ว่า กานส์ จะตกชั้นไปจากลีก เอิง แต่ ซีดาน ก็ยังคงได้ลงเล่นในลีกสูงสุดของฝรั่งเศส ต่อไป เมื่อ บอร์กโดซ์ เข้ามาคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ต่อทันทีที่ กานส์ ตกชั้น ในฤดูกาล 1992/1993

  หลังจาก ซีดาน ย้ายมาร่วมทีม บอร์กโดซ์ เขาก็เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนทีม และสามารถพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ ฟุตบอลยูฟ่า คัพ ฤดูกาล 1995/1996 ซึ่งแม้ว่า บอร์กโดซ์ จะพ่าย บาเยิร์น มิวนิค ทีมยักษ์ใหญ่ของเยอรมัน จนพลาดแชมป์ไป แต่ฝีเท้าของ ซีดาน ที่ได้สำแดงออกมาในฤดูกาลนั้น ทำให้เขาแจ้งเกิดในเวทีลูกหนังยุโรป ได้สำเร็จ จนมีคนยกย่องว่าจะกลายเป็นตำนานลูกหนังของฝรั่งเศส เช่นเดียวกับ มิเชล พลาตินี่ ที่ ซีดาน เคยส่งบอลให้กับมือ ในตอนที่เขาเป็นเด็กเก็บลูกฟุตบอล ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 1984

1996-2001 : ยูเวนตุส

ในปี 1996  ซีดาน ได้ย้ายไปร่วมทีม “ม้าลาย” ยูเวนตุส ภายใต้การคุมบังเหียนของ มาร์เชโล ลิปปี้ และ ซีดาน ก็เป็นส่วนสำคัญที่พาทีมยูเวนตุส คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา และ แชมป์อินเตอร์คอนทิเนนทอล คัพ ในปี 1997 รวมถึง มีส่วนสำคัญพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่จะพ่ายให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 3-1 และในฤดูกาลถัดมา ซีดาน ยังช่วยให้ ยูเวนตุส คว้าแขมป์ “สคูเต็ตโต้” ได้อีกสมัย เช่นเดียวกับ พาทีมเขารอบชิงชนะเลิศ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สุดท้าย ทีมของเขาก็ต้องเป็นฝ่ายปราชัยให้กับ เรอัล มาดริด ไป 0-1

2001-2006 : เรอัล มาดริด



หลังจากค้าแข้งอยู่ในแดนมักกะโรนี กับ ยูเวนตุส อยู่ 5 ฤดูกาล ในที่สุด ซีดาน ก็ย้ายไปร่วมทีม “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ทีมยักษ์ใหญ่ของสเปน  ในปี 2001 ด้วยค่าตัวสูงที่สุดในโลก 76 ล้านยูโร (ประมาณ 4,028 ล้านบาท)
และในฤดูกาลแรกที่ ซีดาน ไปอยู่กับ รีล มาดริด เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ทันที ด้วยการเอาชนะ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ ซีดาน สามารถทำประตูสุดคลาสสิค จากการวอลเลย์บอลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม อีกด้วย

ฤดูกาลต่อมา ซีดาน ยังทำผลงานได้อย่ายอดเยี่ยง โดยเขาสามารถพา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ และ แชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ได้สำเร็จ ซึ่งในฤดูกาล 2002/2003 ซีดาน ได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกจากการประกาศของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ

หรือ ฟีฟ่า เป็นสมัยที่ 3 เทียบเท่ากับ โรนัลโด้ กองหน้าทีมชาติบราซิล หลังจากก่อนหน้านี้ ซีดาน เคยได้รับรางวัลดังกล่าวมาแล้วในปี 1998 และ 2000

อย่างไรก็ตาม ฤดูกาล 2005/2006 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของซีดาน กับ เรอัล มาดริด อาจไม่น่าประทับใจนัก เมื่อต้นสังกัดของเขากระเด็นตกรอบรองชนะเลิศศึก โกปา เดล เรย์ และ รอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงถูกทีม “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ทิ้งห่างถึง 12 แต้ม พร้อมกับคว้าแชมป์ลาลีกา ไปครอง และในที่สุด ซีดาน ก็แขวนสตั๊ด อย่างเป็นทางการ  ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2006

ทีมชาติฝรั่งเศส

จากความที่ ซีดาน ถือสองสัญชาติ ทั้งฝรั่งเศส และ แอลจีเรีย จึงทำให้เขาสามารถเลือกที่จะเล่นให้กับทีมใดทีมหนึ่งก็ได้ และเขาก็เกือบจะได้เล่นให้กับทีมชาติแอลจีเรียไปแล้ว แต่จากการถูกปฏิเสธจากโค้ชของทีมที่รู้สึกว่าเขาไม่มีความเร็วพอในตำแหน่งที่เล่นตอนนั้น ในที่สุด เส้นทางในทีมชาติฝรั่งเศส ของซีดาน ก็บังเกิดขึ้น โดย ซีดาน ติดทีม “ตราไก่” ครั้งแรก ในปี 1994 และสร้างความประทับใจสุดๆ ด้วยการลงมาทำคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ ฝรั่งเศส ไล่ตามตีเสมอ สาธารณรัฐเช็ก 2-2 หลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 0-2 ในตอนที่ ซีดาน ยังไม่ถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม

ซีดาน มาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในระดับนานาชาติ เมื่อติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป รอบสุดท้าย ปี 1996 ที่ประเทศอังกฤษ เป็นเจ้าภาพ และ ซิซู ก็โชว์ลวดลายลีลาออกมาได้อย่างน่าประทับใจ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ฝรั่งเศส จะไม่ถึงดวงดาวในการแข่งขันครั้งนั้น แต่ ซีดาน ก็กลายเป็นเป้าหมายสำคัญสโมสรชั้นนำในยุโรป และเป็นอนาคตของทีม “เลส์ เบลอส์” อีกด้วย

หลังจากจบ ยูโร 96 ยูเวนตุส ทีมมหาอำนาจของอิตาลี ที่ประทับใจฝีเท้าของ ซีดาน เป็นอย่างยิ่ง ก็คว้าตัว ซิซู ไปร่วมทีม ด้วยค่าตัวเพียงประมาณ 3 ล้านปอนด์ และ ซีดาน ก็พา ยูเวนตุส คว้าแชมป์ได้ทันที ด้วยการเอาชนะ ริเวอร์เพลท ของอาร์เจนติน่า ในการชิงแชมป์ฟุตบอลอินเตอร์คอนติเน็นทั่ล คัพ ที่เป็นการเอาแชมป์สโมสรยุโรป มาเจอกับแชมป์สโมสรของอเมริกาใต้ นั่นเอง

1998 : คว้าแชมป์โลก

ในฟุตบอลโลก 1998 พลพรรคนักเตะฝรั่งเศส ภายใต้การคุมทีมของ เอ็มเม่ ฌักเก้ต์ และมี ซีดาน เป็นหัวใจของทีม แถมยังมีเสียงเชียร์มหาศาลจากแฟนบอลของตนเอง สามารถทะลุทะลวงเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศกับ บราซิล ที่มี โรนัลโด้ เป็นตัวชูโรงและพวกเขาสามารถเอาชนะ บราซิล ได้แบบขาดลอย 3-0 พร้อมกับคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก สมัยแรก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยที่ 2 ประตูแรกที่นำไปสุ่ชัยชนะของทีม “ตราไก่” มาจากการโหม่งของ ซีเนอดีน ซีดาน เพลย์เมกเกอร์คนเก่งของทีมนั่นเอง ซึ่งในช่วงปลายปีนั้น ซีดาน ก็ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก และนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป มาครองได้อีกด้วย


2000 : แชมป์ยูโร

หลังจากคว้าแชมป์โลก 1998 มาครองได้แล้ว พลพรรคนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส ยังเดินหน้าทำผลงานยอดเยี่ยมได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเปลี่ยนกุนซือจาก ฌักเก้ต์ มาเป็น โรเช่ร์ เลอแมร์ แต่นักเตะกำลังหลักของทีมก็ยังอยู่กันครบ ซึ่งภารกิจต่อมาของ ซีดาน และชาวคณะก็คือศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000 ซึ่ง ฮอลแลนด์ กับ เบลเยี่ยม เป็นเจ้าภาพร่วมกัน โดยที่ ฝรั่งเศส ในฐานะแชมป์โลก ตะลุยผ่านรอบคัดเลือกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะมาสร้างผลงานบันลือโลกอีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ยุโรป มาครองได้ ด้วยการเอาชนะ อิตาลี ในรอบชิงชนะเลิศ จากประตูชัยของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ และในปลายปีนั้น ซีดาน ก็ได้รางวัลนักเตะยอดเยียมของโลก มาครองเป็นสมัยที่ 2 ด้วย

2002-2006 : ไม่ประสบความสำเร็จกับฝรั่งเศส


อย่างไรก็ตาม ซีดาน และทีมชาติฝรั่งเศส ต้องมาประสบความล้มเหลวอย่างยิ่งในฟุตบอลโลก 2002 ที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ เมื่อกระเด็นตกรอบแรกไปอย่างน่าอาย โดยสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็เพราะซีดานได้รับบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่องก่อนการแข่งขัน ทำให้ไม่ฟิตสมบูรณ์เต็มที่ในการลงเตะฟุตบอลโลก 2002
ต่อมาในปี 2004 ซีดาน พาทีมชาติฝรั่งเศส ลงทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ "ยูโร" ปี 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส ก่อนจะต้องเจอกับผิดหวังอีกครั้ง เมื่อพ่ายทีมรองบ่อนอย่าง กรีซ ตกรอบไปแบบพลิกความคาดหมย จนทำให้ ซีดาน ท้อแท้ใจจนประกาศอำลาทีมชาติ หลังจากจบการแข่งขันรายการนั้น

แต่ด้วยเสียงเรียกร้องของแฟนบอลฝรั่งเศส อีกทั้งกุนซือทีมชาติคนปัจจุบันอย่าง โดเมอเน็ค ก็ลงทุนอ้อนวอนเกลี้ยกล่อมด้วยตนเองมาตลอด ทำให้ ซีดาน ยอมหวนกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ในช่วงฤดูร้อนปี 2005 ซึ่งในตอนนั้น สถานการณ์ของทีม “ตราไก่” ในศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอ ซีดาน กลับมาสู่ทีมเท่านั้น ทุกอย่างก็กลับมาลงตัว และ ฝรั่งเศส ก็ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ

2006 : รองแชมป์ฟุตบอลโลก



ฝรั่งเศส ออกประเดิมสนามศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน ได้ไม่ดีนัก ด้วยการเสมอกับ สวิตเซอร์แลนด์ 0-0 และ เกาหลีใต้ 1-1 แถมเกมนั้น ซีดาน ก็โดนไล่ออกจากสนาม หลังจากได้ใบเหลือง 2 ใบ ส่งผลให้ ซีดาน ต้องชวดลงสนามในเกมนัดสุดท้าย ในรอบแบ่งกลุ่ม ที่พบกับ โตโก อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศส ก็สามารถทุบเอาชนะ โตโก 2-0 พร้อมกับผ่านเข้ารอบไปในฐานะทีมอันดับ 2 ซึ่งจะต้องไปพบกับ สเปน ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป

ในเกมพบกันทีม “กระทิงดุ” ซีดาน ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง และเป็นคนเปิดบอลใส่พานให้ ปาทริค วิเอร่า ทำประตูให้ฝรั่งเศส ออกนำ สเปน 2-1 ในช่วงท้ายเกม ก่อนที่ เขาจะมาซัดประตูย้ำชัย ได้ในนาทีที่ 91 ส่งผลให้ ฝรั่งเศส เอาชนะไปได้ 3-1 และเขาไปพบกับ บราซิล แชมป์เก่า  ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งซีดาน ก็แผลงฤทธิ์เปิดบอลให้ เธียร์รี่ อองรี ซัดประตูชัย ให้ฝรั่งเศส เอาชนะไปได้ในที่สุด 1-0 พร้อมกับการคว้าตำแหน่ง “แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์” ในเกมนั้นไปครองในนัดต่อไป ซีดาน นำทัพทีมฝรั่งเศส

ก้าวลงสนามในเกมนัดรองชนะเลิศ โดยพบกับ โปรตุเกส และเขาก็ซัดจุดโทษในนาทีที่ 33 ช่วยให้ ฝรั่งเศส เอาชนะทัพ “ฝอยทอง” ไปได้ 1-0 พร้อมกับทะลุกเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับ อิตาลี ซึ่ง ซีดาน ยังสวมบทฮีโร่ของให้ ซีดาน กลายเป็นนักเตะคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก ที่สามารถทำประตูในนัดชิงชนะเลิศได้ 2 ครั้งในปีต่างกัน เคียงข้างกับ เปเล่, พอล ไบรต์เนอร์ และ วาว่า

อย่างไรก็ตาม อิตาลี ก็มาตามตีเสมอได้สำเร็จ จากการทำประตูของ มาร์เตรัซซี่  ทำให้เกมนี้จะต้องยืดเยื้อไปในช่วงต่อเวลาพิเศษ นำมาซึ่งการโดนไล่ออกของ ซีดาน ในนาทีที่ 110 หลังจากที่เขาใช้ศีรษะโขกใส่ มาร์เตรัซซี่ แต่ทว่าก็ไม่มีใครทำอะไรกันได้ จนมาถึงการดวลจุดโทษตัดสินซึ่งก็เป็น อิตาลี ที่เอาชนะไปได้ 5-3 แต่หลังจบทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าว ซีดาน ก็ยังคงรางวัล “โกลเด้นบอล” ซึ่งมอบให้กับผู้เล่นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในศึกฟุตบอลโลก ไปครองในที่สุด


กิจกรรมการกุศล

ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2007 ซีดาน ลงเล่นฟุตบอลการกุศลกับเพื่อหาเงินช่วยเหลือ มูลนิธิเกื้อดรุณ ซึ่งเป็นมูลนิธิช่วยเหลือเด็กที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ในประเทศไทย โดยมียอดการบริจาคในกิจกรรมนั้น คิดเป็นเงิน 260,000 บาท

ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2007 ซีดาน ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นทูตของ ยูเอ็น ในปี 2001 ลงเล่นฟุตบอลการกุศลช่วยเหลือผู้ยากจน ที่เมือง มาลาก้า ประเทศ โดยมี อดีตเพื่อนร่วมทีม เรอัล มาดริด อย่าง รวมถึง นักกีฬาประเภทอื่นๆ และ คนดังอีกหลายคน ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งกิจกรรมการกุศลดังกล่าวจะถูกจัดขึ้นทุกปี โดยเป็นหนึ่งในแผนงานของ United Nations Development Programme ซึ่งเป็นกิจกรรมขององค์การยูนิเซฟ


ชีวิตส่วนตัว

ซีดาน ระบุว่า ตัวเขาเป็นมุสลิมที่ไม่เคร่งศาสนามากนัก ส่วนในชีวิตครอบครัว ซีดาน ได้พบกับ เวโรนิก เฟร์นานเดซ นักเต้นชาวสแปนิช ซึ่งเป็นภรรยาคนปัจจุบันของเขา ขณะที่ ซีดาน ยังค้าแข้งอยู่กับ ทีม กานส์ ในฤดูกาล 1991/1992 ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันสองคน ได้แก่ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ และ ลูก้า ซีนาดีน ซีดาน ซึ่งทั้งสองคนกำลึงฝึกฟุตบอลอยู่ที่ อคาเดมี่ของ  สโมสร เรอัล มาดริด

เกียรติประวัติ

บอร์กโดซ์
ยูฟ่า คัพ (รองแชมป์) : 1995/1996
แชมป์ลีกเอิง : 1995/1996
อินเตอร์ โตโต้ คัพ : 1995
ยูเวนตุส
เซเรีย อา : 1996/1997 : 1997/1998
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 1996
อิตาเลีย ซูเปอร์ คัพ : 1997
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (รองแชมป์) : 1996/1997, 1997/1998
เรอัล มาดริด
ลา ลีกา : 2002/2003
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2001/2002
อินเตอร์เนชัลแนล คัพ : 2002
ยูโรเปี้ยนส์ ซูเปอร์ คัพ : 2002
สแปนิช ซูเปอร์ คัพ : 2001, 2003
ทีมชาติฝรั่งเศส
ฟุตบอลโลก : 1998 (แชมป์), 2006 (รองแชมป์)
ฟุตบอลยูโร : 2000 (แชมป์)

รางวัลส่วนตัว

มิดฟิลด์ยอดเยี่ยม, ฟุตบอลสโมสรโลก  : 1997/1998
นักฟุตบอลแห่งปี  : 1998
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก : 1998, 2000, 2003
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก อันดับ 2 : 2006
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก อันดับ 3 : 1997, 2002
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) : 1998
ผู้เล่นทรงคุณค่า, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2001/2002
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปในช่วง 50 ปี, ยูฟ่า โกลเด้น จูบิลี่ โพล : 2004
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์, ฟุตบอลโลก : 2006
ติดทีมยอดเยี่ยมของโลก : 2005, 2006
Onze d'Or: 1998, 2000, 2001
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป : 2000
FIFA All-Star Team: 1998, 2006
UEFA BEST XI: 2001, 2002, 2003
Chevalier (Knight) of the Légion d'honneur: since 1998[50]
ที่มา:http://www.sport-idol.com/58/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%99/



"ตำนานหัวไข่ดาว"

















Ronaldinho



"เหยินจอมโย้กสะท้านโลก"


          โรนัลดินโญ่ ยอดเพลย์เมกเกอร์ชาวบราซิเลี่ยน ซึ่งโด่งดังมากสมัยค้าแข้งอยู่กับทีม “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า มหาอำนาจลูกหนังศึกลาลีกา สเปน เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปี ค.ศ.1980 ที่เมืองปอร์โต้ อเลเกร ในบราซิล มีชื่อเต็มๆว่า “โรนัลโด้ เดอ แอสซิส โมเรร่า” แต่รู้จักกันทั่วไปในนามของ โรนัลดินโญ่ เกาโช่ โดยคำว่า “โรนัลดินโญ่” ในภาษาโปรตุเกส แปลว่า “โรนัลโด้น้อย” นั่นเอง และการใช้ชื่อนี้ของเขาก็แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเขาต้องการเป็นยอดนักเตะของโลก เฉกเช่นเดียวกัน โรนัลโด้ กองหน้าซูเปอร์สตาร์รุ่นพี่ในทีมชาติบราซิล ซึ่งตอนนี้เขาก็ทำสำเร็จแล้ว

ทักษะอันสุดยอดของ โรนัลดินโญ่ เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ในวัยเด็กที่เขาหลงใหลในการเล่นทั้งฟุตบอลโต๊ะเล็กตามท้องถนน และบนพื้นทรายของชายหาดในเมือง ปอร์โต้ อเลเกร บ้านเกิด ในวัย 13 ปี ก่อนที่จะพัฒนามาสู่การเล่นฟุตบอล 11 คน ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักโด่งดังผ่านสื่อมวลชนเป็นครั้งแรกเมื่อสร้างประวัติศาสตร์ยิงประตูในการแข่งขันระดับเยาวชนภายในประเทศได้อย่างถล่มทลาย และหลังจากการเป็นดาวเด่นในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์โลกอายุต่ำกว่า 17 ปี ก่อนที่ในที่สุด เขาจะได้ร่วมทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมจากในบราซิลจนถึงทวีปยุโรปอย่างเช่นในปัจจุบัน

ก้าวเข้าสู่อาชีพลูกหนัง

1998-2001 : เกรมิโอ

“เหยินน้อย” เริ่มอาชีพนักเตะ กับสโมสรเกรมิโอ ใน บราซิล ตั้งแต่ปี 1998-2001 ในฐานะนักเตะเยาวชนของสโมสร ก่อนจะได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของสโมสรเป็นครั้งแรกในปี 1998 โดยเกิดขึ้นในเกมลิเบอร์ดาโดเรส คัพ หลังจากนั้นมาเป็นต้นมา ความสามารถของเขาก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างก็พากันตื่นตาตื่นใจไปกับทักษะการควบคุมลูกบอลและความสามารถในการยิงประตูของ โรนัลดินโญ่ ส่งผลให้ในปี 1999 โรนัลดินโญ่ ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิลชุดใหญ่ด้วยวัยเพียง 19 ปี เท่านั้น


ดูเหมือนว่า ฟุตบอลในบราซิลกลายเป็นโลกที่เล็กไปสำหรับ โรนัลดินโญ่ ในที่สุดในปี 2001 เขาก็เดินทางมาสู่ยุโรปเซ็นสัญญาค้าแข้ง 5 ปี กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ทีมดังในฝรั่งเศส ด้วยวัยเพียง 20 ปีเศษ โดย เปแอสเช ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ เกรมิโอ จำนวน 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 157.5 ล้านบาท) แม้ว่า โรนัลดินโญ่ จะหมดสัญญากับ เกรมิโอ และกลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2001 ก็ตาม

2001-2003 : ปารีส แซงต์ แชร์กแมง

แม้ว่าจะเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์สูงสุด แต่กับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป ทำให้เจ้าเหยินเล็กประสบกับปัญหาในการปรับตัว ทั้งนี้ มีข่าวเป็นระยะๆ ว่า หลุยส์ แฟร์น็องเดซ โค้ชของทีมไม่ค่อยพอใจและมีความเห็นว่า โรนัลดินโญ่ เสียสมาธิไปกับการท่องราตรีมากกว่าที่จะมุ่งมั่นกับเกมฟุตบอล รวมทั้งยังมีปัญหาในเรื่องระเบียบวินัยอีกด้วย อันส่งผลให้ฟอร์มการเล่นก็เจ้าตัวก็ไม่คงเส้นคงวานัก เพราะเมื่อเจอกับทีมใหญ่ โรนัลดินโญ่ จะเล่นได้อย่างโดดเด่น แต่ในทางกลับกัน หากเล่นกันทีมที่เล็กกว่า เจ้าเหยินน้อยก็จะหายไปจากเกม


หลังจากเสร็จศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ทำให้ โรนัลดินโญ่ กลายเป็นทีมต้องการของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป และในปี 2003 โรนัลดินโญ่ ประกาศกร้าวว่าต้องการย้ายออกจาก เปแอสเช หลังจากที่สโมสรไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ประกอบกับการที่เขามีปัญหาขัดแย้งกับเทรนเนอร์ของทีม ซึ่งทำให้หลังจากนั้น มีข้อเสนอมากมายเข้ามาสู่ทีมดังแห่งปารีส ก่อนที่ บาร์เซโลน่า ภายใต้การนำของ โจน ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรคนปัจจุบัน จะทุ่มเงิน 21 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,386 ล้านบาท) เบียดเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัวเหยินน้อยมาสู่ คัมป์ นู จนได้

2003-2008 : บาร์เซโลน่า

โรนัลดินโญ่ เกือบจะไม่ได้ย้ายมาพาบาร์เซโลน่า เพราะหลังจากที่ โจน ลาปอร์ต้า ทนายหนุ่มไฟแรง ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานสโมสรบาร์เซโลน่า ในปี 2003 ด้วยนโยบายที่จะคว้าซูเปอร์สตาร์มาสู่คัมป์ นู ทันทีที่เขาได้รับตำแหน่ง แต่ในตอนแรกนั้น ลาปอร์ต้า ต้องการตัว เดวิด เบ็คแฮม ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษ ที่ตอนนั้นกำลังจะย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เดชะบุญที่ เบ็คแฮม ไม่เลือก บาร์ซ่า ทั้งที่ว่ากันว่า แมนฯยูฯ พร้อมจะขายเขามาสู่คัมป์ นู อยู่แล้ว  และโชคดีที่ทาง เรอัล มาดริด คู่ปรับของบาร์ซ่า ก็ต้องการตัวหนุ่มเบ็คส์ เช่นกัน ก่อนที่ เบ็คแฮม จะไปลงเอยกับ รีล มาดริด ทำให้ ลาปอร์ต้า ต้องเบนเข็มมาล่า โรนัลดินโญ่ แทน

ก่อนเริ่มฤดูกาล 2003-2004 บาร์เซโลน่า ทำการเปิดตัวหัวหอกรายใหม่ของทีมในเกมนัดพิเศษที่พบกับ เอซี มิลาน ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 45,000 คน ในสนาม อาร์เอฟเค สเดเดี้ยม ณ กรุงวอร์ชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดย บาร์เซโลน่า เอาชนะไปได้ 2-0 และ ก็เป็น โรนัลดินโญ่ ที่ซัดประตูที่ 2 ได้ด้วย ในนาทีที่ 51 ของเกม ส่งผลประตูนี้กลายเป็นประตูแรกของเจ้าเหยินน้อยในสีเสื้อบาร์ซ่า อย่างไรก็ตาม พอเข้าสู่ฤดูกาลแข่งขัน โรนัลดินโหญ่ ก็มีอาการบาดเจ็บรบกวน และกว่าจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งแต่เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของซีซั่น แต่ก็ไม่ถือว่าสายเกินไป เพราะ โรนัลดินโญ่ โชว์ฟอร์มได้สมราคา ด้วยการพาทีมบาร์ซ่า ได้รองแชมป์ลา ลีกาฤดูกาลแรกในสเปน โรนัลดินโญ่ ได้



ในฤดูกาล 2004-2005 โรนัลดินโญ่ ประสานงานกับ ซามูเอล เอโต้, เดโก้, ชาบี, ลูโดวิช ชูลี่ และ เฮนริค ลาร์สสัน ช่วยให้ทีมบาร์ซ่าประกาศศักดา คว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้ เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมี แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด กุนซือหนุ่มชาวดัตช์ เป็นผู้นำทัพ ด้วยระบบ 4-3-3 อันลือลั่น ส่งผลให้ฤดูกาลนี้เอง โรนัลดินโญ่ ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกจากฟีฟ่า ไปครองในวันที่ 20 ธันวาคม 2004

อย่างไรเสีย โรนัลดินโญ่ ก็ไม่สามารถ บาร์เซโลน่า พาไปได้ไกลในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากที่ โดน เชลซี เขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปอย่างน่าเจ็บใจ แม้เกมนั้น โรนัลดินโญ่ จะโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น โดนทำคนเดียวถึง 2 ประตูก็ตาม ส่งผลให้ชื่อของ โรนัลดินโญ่ ได้กลายเป็นที่หมายปองของหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะ เชลซี ที่ตกเป็นข่าวยอมทุ่มถึง 60 ล้านปอนด์ สำหรับค่าตัวของเขา (ประมาณ 3,960 ล้านบาท)

ปลายฤดูกาล 2004-2005 โรนัลดินโญ่ ซึ่งในตอนนั้น สัญญาจะหมดลงในปี 2008 ปฏิเสธที่จะต่อสัญญากับทีม บาร์ซ่า ออกไปจนถึงปี 2014  และในปีถัดมา เขาก็ตัดสินใจต่อสัญญาฉบับกับทีมออกไปเพียง 2 ปี เท่านั้น โดยในสัญญาได้เปิดช่องว่า เขามีสิทธิ์ย้ายออกจากถิ่น คัมป์ นู ได้ หากสโมสรต้นสังกัดได้รับข้อเสนอซื้อตัวในราคา 85 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,610 ล้านบาท)

ในฤดูกาล 2005-2006 โรนัลดินโญ่ ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ด้วยการพาทีม บาร์เซโลน่า ผงาดคว้าแชมป์ลา ลีกา มาครองได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน  ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วยให้ทีม “เจ้าบุญทุ่ม” คว้า แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเอาชนะ อาร์เซน่อล ได้ในรอบชิงชนะเลิศ 2-1 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2007 พร้อมกับตบท้ายด้วยการที่ โรนัลดินโญ่ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์ไปครองอีกหนึ่งรางวัล



ต้องเรียกได้ว่าเป็นปีแห่งความสำเร็จของ โรนัลดินโญ่ เพราะในฤดูกาลนี้ เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ประจำปี 2005 มาครอง ซึ่งถือเป็นการรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันของเขา  นอกจากนั้น ยังคว้ารางวัลบัลลงดอร์ หรือนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป ของนิตยสาร ฟร้องซ์ ฟุตบอล มาครองได้  รวมถึงคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ หรือ ฟิฟโปร อีกด้วย

ในฤดูกาล 2006-2007 โรนัลดินโญ่ ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย ทั้งในเกมลีก และเกมสโมสรยุโรป อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจพาทีม บาร์ซ่า ป้องกันแชมป์ ลาลีกา สเปน และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ โดยในเกมลีกนั้น พวกกเขาต้องโดน เรอัล มาดริด ฉกถ้วยไปครองได้ในปีนี้ ขณะที่ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นั้น พวกเขาก็ต้องจอดป้ายแค่เพียงรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น หลังจากแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม โรนัลดินโญ่ ก็ยังสามารถช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ สโมสรโลกได้เป็นการปลอบใจหลังขย่ม เอาชนะ คลับ อเมริกาไป 4-0 ในรอบชิงชนะเลิศ และในปีนี้ โรนัลดินโญ่ ยังได้มีโอกาสขึ้นรับรางวัลนักฟุตบอลเยี่ยมของโลกอีกครั้ง แต่ก็ในฐานะอันดับ 3 โดยต้องหลีกทางให้ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ คว้ารางวัลไปครอง ด้วยผลงานกับการคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติอิตาลี ในปี 2006

ฤดูกาล 2007-2008 โรนัลดินโญ่ ไม่ค่อยได้ลงเล่นให้กับ บาร์เซโลน่า มากนัก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง อย่างไรก็ดี เขาก็กลับมาลงสนามนัดที่ 200 ในทีมบาร์เซโลน่า ได้อีกครั้ง ในเกมที่พบกับ โอซาซูน่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2008 ก่อนที่จะต้องหยุดพักยาวทั้งฤดูกาล หลังได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาขวาอย่างหนักระหว่างการฝึกซ้อม เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2008 พร้อมกับกระแสข่าวการย้ายทีมของ โรนัลดินโญ่ ที่ประทุขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น โดยมีหลายทีมยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น เชลซี, เอซี มิลาน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

2008-ปัจจุบัน : เอซี มิลาน

เอซี มิลาน ทีมดังจากอิตาลี ใช้เงิน 18.5 ล้านยูโร ซื้อตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งเหยินน้อย ปฏิเสธเงินจำนวนมหาศาลในการที่จะย้ายไปร่วมทีม แมนซิตี้ ซึ่งมีบักแม้วเป็นเจ้าของอยู่ในขณะนั้น ที่ทุ่มเงินซื้อถึง 32 ล้านยูโร!! และเข้าๆออกๆระหว่างตัวจริงกับตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง กับทีมเอซี ในปัจจุบัน และเมื่อ กาก้า ถูกขายออกจากทีมไป ก็ทำให้เขา ได้ลงเป็นตัวจริงบ่อยครั้งขึ้น


ทีมชาติบราซิล

โรนัลดินโญ่ เป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่คนของทีมชาติบราซิลที่ติดทีมชาติทุกรุ่นอายุ ไล่ตั้งแต่ ชุดยู-15, ยู-17, ยู-20 และ ยู-23 จนกระทั่ง มาติดทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ใน วันที่ 26 มิถุนายน ปี 1999 และเขาก็แจ้งเกิดได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการยิงประตูชัยให้ทีมเซเลเซาเฉือนเอาชนะเวเนซุเอลา รวมทั้งช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ โคปา อเมริกา มาครองได้อย่างงดงามหลังถล่มเอาชนะอุรุกวัยมาได้ในรอบชิงชนะเลิศ 3-0 ก่อนที่เขาจะโชคร้าย อดลงเล่นเกมนัดชิงฯ ในศึก คอนเฟดเดอเรชั่น คัพ 1999 จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ บราซิล พ่ายต่อ เม็กซิโก ไปอย่างน่าเสียดาย 3-4

ในปี 2002 โรนัลดินโญ่ ก้าวสู่จุดสูงสุดจุดหนึ่งของการเป็นนักเตะ ด้วยการพาทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ที่เอเชีย ซึ่งมีเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ สำเร็จ จากสามประสานในเกมรุกที่มีเขา, โรนัลโด้ และ ริวัลโด้ (3 R's) ทำเดินร่วมกัน  โดยไฮไลต์สำคัญของเขา คือ การยิงลูกลักไก่ระยะไกลกว่า 35 เมตร ข้ามหัว เดวิด ซีแมน นายทวารทีมชาติอังกฤษ ในขณะนั้น เป็นประตูชัยให้ บราซิล เอาชนะ อังกฤษ ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนจะก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ ในท้ายที่สุด แม้ว่าในแมตช์นั้นเขาจะโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม จากการไปทำฟาวล์อย่างน่าเกลียดใส่ แดนนี่ มิลล์ส แบ๊กขวาของทีม “สิงโตคำราม” ก็ตาม


ในปี 2005 โรนัลดินโญ่ รับบทสวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติบราซิล ลงทำศึก คอนเฟเดอเรชั่นคัพ ปี 2005 และเขาก็นำลูกทีมผงาดคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม ด้วยการเอาชนะ อาร์เจนติน่า ได้อย่างท้วมท้น 4-1 ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2005 และก่อนที่จะมาสู่ศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน ซึ่ง โรนัลดินโญ่ ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นเดิม แต่ทว่า ฟอร์มการเล่นของเขากลับน่าผิดหวังไม่น้อยในสายตาของแฟนบอล โดยเขาไม่สามารถยิงประตูได้เลยในการลงสนาม 5 นัด และยังเป็นคนจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ครั้งเดียวเท่านั้น (ในเกมที่ชนะ ญี่ปุ่น 4-1) ก่อนที่จะโดน ฝรั่งเศส เขี่ยตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปในท้ายที่สุด

หลังจากสิ้นเสร็จศึกฟุตบอลโลก ที่ประเทศ เยอรมัน  โรนัลดินโญ่ ก็เข้าๆ ออก ในทีมตัวจริงของทีมชาติบราซิล อยู่บ่อยครั้ง โดยเขาลงเล่นภายใต้การคุมทีมของ คาร์ลอส ดุงก้า เทรนเนอร์คนใหม่ไปเพียง 3 จาก 5 เกมที่เป็นทางการเท่านั้น (2 ใน 3 เป็นการเล่นในฐานะตัวสำรอง) อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 24 มีนาคม 2007 โรนัลดินโญ่ กลับมาลงให้กับทีมชาติบราซิล ในฐานะตัวจริงครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2006 ในเกมที่เขาจัดการเหมาสองประตูช่วยให้ บราซิล ถล่มเอาชนะ ชิลี ไปได้ 4-0 และเป็นการหยุดสถิติที่เขายิงประตูในเกมทีมชาติไม่ได้เลยเป็นเวลาเกือบๆ 2 ปี ได้สำเร็จ และในปี 2008 โรนัลดินโญ่ มีชื่อเป็นหนึ่งในนักเตะที่จะติดฟุตบอลทีมชาติบราซิลไปลุยศึกโอลิมปิก เกมส์ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในฐานะโควตา นักเตะอายุเกิน 23 ปี ร่วมกับ ติอาโก้ ซิลวา และ โรบินโญ่ อย่างไรก็ตาม ทางบาร์ซ่า ก็ได้ ออกมาเบรกไม่ให้ เหยินน้อย ไปร่วมทีมในครั้งนี้ แต่ดูเหมือนว่าก็จะไม่เป็นผล

จากการที่ฉายฟอร์มเพชฌาตกับทีมเอซี มิลาน ไม่ได้เลย ทำให้ดุงก้า ไม่เรียกเขาติดทีมชาติ ในศึกคอนเฟด 2009 ล่าสุด ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่า อนาคตของเขา กับทีมชาติ ได้หมดลงแล้ว

ข้อมูลและชีวิตส่วนตัว
โรนัลดินโญ่ มีเอเย่นต์ประจำตัว คือ โรแบร์โต้ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขาที่เคยเดินทางสายลูกหนังเหมือนกับโรนัลดินโญ่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านัน หลังจากที่โรแบร์โต้ ตรวจพบว่า เป็นโรคหัวใจ ขณะที่ พี่สาวของเขา ซึ่งมีนามว่า เดซี่ ก็เป็นผู้ประสานงานกับสื่อต่างๆ ให้กับตัวของ โรนัลดินโญ่


โรนัลดินโญ่ ได้เป็นพ่อคนครั้งแรก ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2005 หลังจากที่ ยาไนน่า นาตเตียลเล่ เวียนา เมนเดส  แฟนชาวชาวบราซิล ให้กำเนิดลูกชาย โดย โรนัลดินโญ่ ตั้งชื่อให้ว่า เจา ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับพ่อบังเกิดเกล้าของเขานั่นเอง

เกียรติประวัติที่ได้รับ

สโมสร

ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท แชมเปี้ยนชิพ : 1999
ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท คัพ : 1999
อินเตอร์ โตโต้ คัพ: 2001
สแปนิช ลีกา: 2005, 2006
ซูเปอร์โคปปา เดอ เอสปาน่า: 2005, 2006
ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก: 2006
ฟีฟ่า เวิร์ลด คัพ 2006: (รองแชมป์)
ทีมชาติบราซิล

ฟีฟ่า ยู-17 เวิร์ลด คัพ : 1997
โคปป้า อเมริกา : 1999
ฟีฟ่า เวิร์ลด คัพ : 2002
คอนเฟดเดเรชั่นส คัพ : 2005
ส่วนตัว

125 อันดับสุดยอดนักฟุตบอลที่ยังมีชีวิตอยู่ของเปเล่
สุดยอดนักเตะระดับโลกของฟีฟ่า : 2004, 2005
ผู้เล่นระดับโลกแห่งปี : 2004, 2005
สุดยอดนักฟุตบอลในทวีปยูโรป : 2005
นักเตะระดับโลกแห่งปี ของฟิฟโปร: 2005, 2006
ติดสุดยอดทีมของฟิฟโปร : 2005, 2006, 2007
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า : 2005-06
ตัวรุกยอดเยี่ยมของยูฟ่า : 2004-05
ติดทีมประจำปีของยูฟ่า : 2004, 2005, 2006
ยอดนักเตะต่างชาติในแดนลา ลีกา: 2004, 2006
รางวัล อีเอฟอี โทรฟี่ : 2004
ติดออลสตาร์ของฟีฟ่า : 2002
รางวัลฟุตบอลสีบรอนซ์ ของฟีฟ่า : 2006
ดาวซัลโว คอนเฟดเดเรชั่น : 1999
บอลทองคำ คอนเฟดเดเรชั่น : 1999
ดาวซัลโว ริโอ กรันเด้ เดอ ซุล สเตท แชมเปี้ยนชิพ : 1999
ที่มา:http://www.sport-idol.com/65/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%8D%E0%B9%88/


"ทักษะอันสุดยอดของ เหยิน ตัวน้อยๆ"




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=1QlLZuehOQA&feature=player_embedded












Ricardo Kaka'



"เทพบุตรแห่งแซมบร้า"


กว่าจะมาเป็น กาก้า 

            ริคาร์โด้ อิเซคสัน ดอส ซานโตส ไลเต้ หรือที่รู้จักกันในนาม กาก้า เกิด มื่อวันที่ 22เมษายน ปี 1982ในกรุง บราซิเลีย ประเทศ บราซิล ปัจจุบันลงเล่นให้กับทีมชาติบราซิลและสโมสร เอซี มิลาน ในอิตาลี
            กาก้า มีน้องชายอยู่ 1คนชื่อว่า โรดริโก้ อิฟราโน่ ดอส ซานโตส ไลเต้ หรือ ดีกาโอ และ น้องชายของเขาก็หวังว่าจะได้เดินตามรอยเท้าของพี่เพื่อไปเล่นยัง เซเรีย อา

            ชื่อ กาก้า นั้นเป็นสำเนียงแบบ โปรตุเกส ที่จะออกสำเนียงเน้นคำหลัง ตอนที่อยู่ในบราซิลนั้นจะมีคนเรียกเขาว่า ริคาร์โด้ มากกว่า อย่างไรก็ก็ตามชื่อ กาก้า นั้นได้มาจากน้องชายของเขาที่ไม่สามารถเรียกพี่ชายของเขาว่า ริคาร์โด้ ได้ในตอนเด็กๆ ทำให้ โรดริโก้ หันมาเรียก คาค่า (Caca) แทน และมาตอนหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น กาก้า (Kaka)อย่างในปัจจุบัน


            ในเดือนกันยายน ปี 2000เมื่อ กาก้าอายุได้ 18ปีเขาก็ต้องเกือบที่จะต้องหยุดอนาคตการค้าแข้งลง หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ และมีอาการกระดูกสันหลังร้าว จนทำให้เกือบเป็นอัมพาต แต่หลังจากนั้น1ปี กาก้า ก็ฟิตเต็มที่และกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง ในเกมสำรองของทีม โดยโค้ชส่งเขาลงเล่นเป็นตัวสำรองในช่วง 14นาทีสุดท้าย ในเกม ทอร์เนโร่ ริโอ นัดชิงชนะเลิศ ที่ทีมต้นสังกัด เซาเปาโล ตามหลังคู่แข่งอยู่ 1ประตู และจากการตัดสินใจของโค้ช เซาเปาโล ที่ส่ง กาก้า ลงสนามนั้น คอมเมนเตเตอร์ที่บรรยายเกมอยู่ถึงกับพูดออกมาว่า โค้ช เซาเปาโล นั้นต้องบ้าแน่ๆ แต่หลังจากนั้น 2นาที กาก้า ก็จัดการปิดปากผู้บรรยายรายนี้ด้วยการยิง 2ประตูช่วยให้ทีมพลิกมาคว้าชัยได้อย่างเหลือเชื่อ . กาก้า ให้เหตุผลการกลับมาในครั้งนี้ว่า เป็นผลมาจากการที่เขาเข้าโบถส์บ่อย จนได้รับของขวัญจากพระเจ้า


ประวัติส่วนตัว

            กาก้า แต่งงานกับ คาโรลีน เซลิโก้ ณ โบถศ์คริสต์แห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 23ธันวาคมปี 2005,2ปีหลังจากที่ กาก้า ย้ายจาก เซาเปาโล มาเล่นให้กับ เอซี มิลาน . คาโรลีน นั้นเกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 1987ที่โรซานเกล่า ลีร่า เธอทำงานอยู่กับสินค้า แบรนด์ดังอย่าง คริสเตียน ดิออร์ ในบราซิล ซึ่งเธอเป็นหนึ่งในผู้บริหารกิจการด้วย โดยหล่อนนั้นตั้งเป้าไว้ว่าจะเรียนให้จบปริญญาด้านบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยในเมือง มิลานด้วย

            ทั้งคู่พบกันเมื่อปี 2001ซึ่งขณะนั้น คาโรลีน เป็นนักศึกษาอยู่และ กาก้า นั้นยังเล่นฟุตบอลให้กับ เซา เปาโล อยู่ ในงานแต่งงานของทั้งคู่มีแขกผู้มีเกียรติ มาร่วมงานกว่า 600คนและบรรดาแขกนั้นมีนักเตะเพื่อนร่วมทีมชาติอย่าง คาฟู ,โรนัลโด้ ,อาเดรียโน่ ,ดิด้า ,ชูลิโอ บาปติสต้า และยังมี อดีตโค้ชทีมชาติอย่าง คาร์ลอส อัลเบอร์โต้ ปาร์ไรร่า มาร่วมงานด้วย

            กาก้า นั้นถือว่าเป็นคริสเตียนที่เคร่ง ศาสนามากคนหนึ่งเลยทีเดียว ในเวลาที่เล่นกีฬาเขามักจะสวมเสื้อที่มีสกรีนคำว่า I Belong to Jesus (สาวกของพระเจ้า)อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นครั้งเมื่อพาบราซิลคว้าแชมป์โลกปี 2002หรือตอนที่ได้แชมป์ลีก กับ มิลานเมื่อปี2004 และเช่นเดียวกันที่สตั๊ดของเขาก็จะมีคำนี้เขียนอยู่ตรงลิ้นรองเท้าด้วย .และทุกครั้งที่เขาทำประตูได้ก็จะชี้นิ้งขั้นไปบนฟ้าเป็นสัญลักษณ์ว่า"ขอบคุณพระเจ้า"เสมอ



ประวัติการค้าแข้ง ระดับสโมสร

            กาก้า ลงเล่นเปิดตัวกับ เซา เปาโล ครั้งแรกเมื่อปี 2001เมื่ออายุได้ 18ปีและในฤดูกาลแรกเขาก็ยังไป 12ลูกจาก 27เกมที่ลงเล่น และ 10ประตู จาก22เกมในซีซั่นถัดมา ซึ่งในขณะที่เขาอายุ 17นั้นทางต้นสังกัด เซา เปาโล เกือบที่จะขาย กาก้า ไปให้กับ กาซิอันเทปสปอร์ ทีมในดิวิชั่น 1ตุรกี แต่ก็ไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะ นูรัลลาห์ ซาแกลม กุนซือทีม กาซิอันเทปสปอร์ ขณะนั้น และทางบอร์ดบริหารของทีมนั้นปฏิเสธที่จะจ่ายเงินจำนวน 1.5ล้านเหรียญ ยูเอส (ประมาณ 60ล้านบาท)ให้กับ เซา เปาโล ซึ่งหลังจากที่ได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ เซา เปาโล ฟอร์มของเขาก็เริ่มไปเตะตาบรรดาทีมใหญ่ในยุโรป

            กาก้า ย้ายสู่ เอซี มิลานเมื่อปี 2003ด้วยค่าตัว 8.5ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 340ล้านบาท) ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ประธานสโมสรมิลานบรรยายถึงนักเตะรายนี้ว่า "เขาเล่นฟุตบอลเหมือนมีตาหลัง" และเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น กาก้า ก็มาอยู่ในทีมชุดใหญ่ได้เลย และหลังจากนั้นเขากได้ลงลเนเกม เซเรีย อา นัดแรกซึ่งเป็นที่ทีมออกไปเยือน อันคอน่า และ มิลาน ก็คว้าชัยไปได้ 2-0.และเขายิงไป 10ประตูจาก 30เกมที่ลงเล่นในซีซั่นนั้น ซึ่งต้นสังกัดก็คว้าสคูเด็ดโต้ และ ถ้วย ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์ คัพได้ด้วย



            กาก้า เป็นหนึ่งใน 5แผงมิดฟิลด์ของมิลาน ในฤดูกาล 2004-2005 และบ่อยครั้งที่ต้องขึ้นไปเล่นเป็นหน้าต่ำเพื่อสนับสนุน อังเดร เชฟเชนโก้ หัวหอกของทีมในเวลานั้น .และฤดูกาลที่สองของเขานั้นก็จบลงที่การยิงไป 7ลูกจาก 36เกมที่ลงเล่นและมีถ้วย อิตาเลียน ซุปเปอร์ คัพ ติดมือมาด้วย .โดยในลีก มิลาน จบอันดับที่ 2ตามหลัง ยูเวนตุส ทีมแชมป์และต้องพลาดการคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก ไปอย่างน่าเสียดายเมื่อแพ้จุดโทษต่อ ลิเวอร์พูลไปในรอบชิงชนะเลิศ .แต่ กาก้า ก็ได้รับเลือกให้เป็นกองกลางยอดเยี่ยมประจำทัวนาเมนต์ปีนั้น และในการประกาศผู้ได้รับรางวัล ลูกบอลของคำ ปีเดียวกัน กาก้านั้นได้รับการโหวต ทั้งหมด 19คะแนนและรั้งอยู่ในอันดับที่ 9

            หนึ่งในประตูที่ กาก้า ทำได้ในชุดมิลานนั้นมีอยูประตูหนึ่งในนัดที่พบกับ เฟเนบาร์เช่ ในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2005/06 ที่ทีมรอสโซเนโร่ พิชิตทีมแดนไก่งวงไปได้ 3-1.ประตูที่เกิดขึ้นนี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนนำไปเปรียบเทียบกับ ดีเอโก้ มาราโดน่า โดย กาก้า ลากบอลจากแดนกลางผ่านผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามถึง 3รายก่อนที่จะหลุดเข้าเขตโทษไปยิงผ่านผู้รักษาประตู โวลคาน เดมิเรล เข้าไป .และใน วันที่ 9เมษายน 2006 กาก้า ก็ซัดแฮตทริกแรกในการเล่นให้ มิลาน ได้สำเร็จในการพบกับ เวโรน่า โดยทั้ง 3ลูกมาจากการยิงในครึ่งหลังทั้งหมด

            ในปี 2006นี้ รีล มาดริด ยักษ์ใหญ่จากสเปนแสดงความสนใจที่จะคว้าตัว กาก้า ไปร่วมทัพ แต่ทาง มิลาน ก็ปฏิเสธกลับไป โดยการจับดาวเตะวัย 24ปีรายนี้เซ็นสัญญาใหม่ที่จะทำให้เจ้าตัวอยู่กับทีมไปจนกระทั้งปี 2011 ต่อมา ในวันที่ 1พฤศจิกายน ปีเดียวกัน กาก้า ก็จัดการทำแฮตทริกที่สองให้กับตัวเองในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ อันเดอร์เลช ที่ทีมจาก อิตาลี เอาชนะไปได้ 4-1 และเป็นแฮตทริกแรกในบอลยุโรปของ ดาวเตะรูปหล่อรายนี้ด้วย

            กาก้า ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี 2006จากบรรดาสื่อมวลชน โดยมีการทำโพลของ"โอ โกลโบ"นิตยสารในบราซิล ในหัวข้อที่ว่า"ใครคือผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก"ซึ่งจากผลสำรวจปรากฏว่า กาก้า ได้รับการโหวตถึง 81.5เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่2นั้นเป็น โรนัลดินโญ่ ทีได้ 11เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมี กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต สื่อกีฬายักษ์ใหญ่ของอิตาลี ที่ตั้งหัวข้อสำรวจเดียวกัน และ กาก้า ก็ติดอยู่ในกลุ่มผู้เล่นยอดเยี่ยมที่ได้รับการโหวตเหมือนเดิม

และหลังจากนั้น คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือของ มิลาน ก็ออกมายกย่องลูกทีมของตนเองว่า กาก้านั้นเป็นผู้เล่นที่สมควรจะได้รางวัลฟุตบอลทองคำในปี 2006มากที่สุด แต่ก็ไม่เป็นไปมคาดเมื่อ ซีเนดีน ซีดาน เป็นผู้คว้ารางวัลนี้ไปครอง



       ข่าวคราวของกาก้าค่อนข้างที่จะเงียบหายไปในช่วงปี 2008-2009 มิลานไม่ได้แชมป์อะไรเท่าไหร่ แต่ช่วงกลางปี ก็ตกเป็นข่าวดังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อฟลอเรนติโน่ เปเรซ ซึ่งกลับมาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้ง ซื้อตัวกาก้า เพื่อเข้ามาตามการทำทีมแบบ "กาลาคติกอส" หรือทีมรวมซูเปอร์สตาร์ ในค่าตัวสูงถึง 56 ล้านปอนด์ หรือ 67.2 ล้านยูโร เข้ามาร่วมทีมเป็นรายแรก เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ก่อนที่จะซื้อตัวโรนัลโด้ จากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นรายต่อมา ซึ่งกับทีมราชันนั้น กาก้า ได้สวมเสื้อเบอร์ 8 และเป็นกำลังหลัก ให้กับทีมดังแดนสเปน อยู่ในขณะนี้


ระดับชาติ

            กาก้าลงลเนเกมแรกให้ทีมชาติในเกมที่พบกับ โบลิเวีย ในเดือนมกราคมปี 2002และเขาก็ยังมีชื่อติดอยู่ในทีมชุดฟุตบอลโลกปี 2002ด้วย แต่กาก้าได้ลงเล่นเพียงแค่ 19นาทีเท่านั้นในเกมรอบแรกที่พบกับ คอสตาริก้า .ในปี 2003กาก้า เป็นกัปตันให้ทีมชาติลงทำศึก โกลคัพ ที่ สหรัฐ และ เม็กซิโก ร่วมกันจัดขึ้น โดยทัวนาเมนต์นั้นบราซิลได้อันดับที่ 2และ กาก้าก็ยิงประตูสำคัญให้ทีมในนัดที่พบกับ โคลัมเบีย ด้วย

            หลังจากนั้นในปี 2005 ศึกคอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ กาก้า ก็เป็นคนยิงปรตูในรอบชิงชนะเลิศให้ทีมคว้าชัยเหนือ อาร์เจนติน่า ไปได้ (ในระหว่างการฉลองแชมป์อยู่ กาก้า และ เพื่อนร่วมทีมหลายคน ได้ชูเสื้อทีเชิ้ตที่มีข้อความเขียนว่า "Jesus Loves You"หรือ "พระเจ้ารักคุณ"ในภาษาที่ต่างกันไปด้วย)



            กาก้า ได้รับอันดับที่ 10จากการโหวตผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟีฟ่าประจำปี 2004(FIFA World Player of the Year award 2004 หรือ ฟีฟ่า เวิล์ด เพลเยอร์ ออฟ เดอะ เยียร์ อวอร์ด 2004) และในปี 2005กาก้า ได้รับการโหวตให้เป็นที่ 2หลังจากที่พาบราซิลผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2006ได้สำเร็จ .กาก้า กลายเป็นผู้เล่นที่สมบูรณ์ขึ้นและได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของบราซิลเลยทีเดียว.

            กาก้า ยิงประตูแรกให้บราซิลในฟุตบอลโลกปี2006 ในเกมที่พบกับ โครเอเชีย ในรอบแรกเมื่อวันที่ 13 มิถนายน 2006 .และในวันที่ 3 กันยายน 2006 กาก้า ยิงประตูสำคัญให้ทีมในนัดที่พบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง อาร์เจนติน่า หลังจากที่จ่ายให้ เอลาโน่ เพื่อนร่วมทีมชาติคนใหม่ยิงไปก่อนหน้านั้น1ลูก .และเมื่อกลางเดือน พฤศจิกายน 2006 กาก้าได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมชาติอีกครั้ง ในนัดกระชับมิตรที่บราซิลพบกับ สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งนัดนั้นบราซิลไม่มีกัปตันทีมตัวจริงอย่าง ลูซิโอ ลงสนามเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ

ฟุตบอลโลก 2006 

            เกมแรกของบราซิลในกลุ่ม เอฟ ,กาก้า ก็สามารถเบิดสกอร์แรกให้ทีมได้ทันทีในนาทีที่ 44จากเกมที่พบกับ โครเอเชีย ซึ่ง กองกลางรายนี้ ยิงจากนอกกรอบประมาณ 25เมตร และลูกนี้ก็เป็นประตูชัยให้ทีมด้วย .บรรดาสื่อต่างๆพากันยกย่อง กาก้า ว่าเป็น 1ใน5สิ่งมหัศจรรย์ของเกมลูกหนังร่วมกับ อาเดรียโน่ ,โรนัลโด้ ,โรนัลดิลโญ่ และ โรบินโญ่ และ ในเกมรอบต่อมากับ กาน่า เจ้าตัวเป็นคนจ่ายให้ โรนัลโด้หลุดเข้าไปทำประตูให้ทีม และถือเป็นการยิงทำลายสถิติสูงสุดของตลอดกาล แกร็ด มุลเลอร์ ลงด้วย .แต่มาในนัดที่พบกับ ฝรั่งเศส ในรอบก่อนรองชนะเลิศ เจ้าตัวและเพื่อนร่วมทีมต่างไม่สามารถรักษาฟอร์มเอาไว้ได้ทำให้ต้องจบปี 2006ด้วยมือเปล่า

คอนเฟดเดเรชั่น 2009

            ฟอร์มของกาก้ายังคงอยู่ในระดับท๊อป สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้หับแฟนๆทีมชุดขาว โดยประเดิมแมทช์แรก ชนะอียิปต์ไปถึง 4-3 ซึ่งกาก้าทำได้ 2 ลูก ทีเด็กอยู่ที่ตรงลูกแรก ที่กาก้ารับบอลจากอัลเวสที่โยนมาให้ เคาะบอลล็อคผ่านผู้เล่นอียิปต์ไปได้ 3 คน ก่อนจะซัดโล่งๆ ผ่านมือ เอล ฮาดารี เข้าไป อย่างสวยงาม ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมหลังพาบราซิลดคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ซึ่งเป็นชาติแรกที่ทำได้



เกร็ดที่น่าสนใจ

            - กาก้า มีเชื่อสายโปรตุเกสด้วย
            - กาก้า เคยเป็นสมาชิกประจำองค์การกีฬาของศาสนา คริสต์
            - ในเดือน พฤศจิกายน 2004 กาก้า ได้รับเลือกให้เป็นฑูต ในการต่อต้านความอดอยาก ของ สหประชาติ ซึ่งเขานับเป็นฑูตที่อายุน้อยที่สุดในเวลานั้น
            - กาก้า เป็นคนที่ชอบฟังบทสวดของศาสนาคริสต์มาก
            - นอกจากนี้เขายังชอบศึกษาคัมภีร์ ไบเบิ้ล ด้วย
            - เวลาว่างของเขามักจะเข้าโบถส์ อ่านคัมภีร์ พร้อมกับครอบครัวและน้องชายของเขา ดีเกา
            - ที่ลิ้นของสตั๊ด กาก้านั้นมีปักคำว่า "I belong to Jesus"(สาวกของพระเจ้า) และ "God is faithful" (พระเจ้าคือความซื่อสัตย์) อยู่ด้วย
            - อาเดรียโน่ เพื่อนร่วมทีมชาติของกาก้า ได้ออกมากล่าวเกี่ยวกับ กาก้า ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่น่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง
            - มีหลายครั้งที่ผู้คนมักเรียกเขาว่า "นิวเปเล่"หรือ"เปเล่ขาว"
            - เปเล่ เคยออกว่าบอกว่า กาก้า นั้นมีเทคนิคการเล่นแบบ บราซิล ขนานแท้ ผสมกับ ความแข็งแกร่งของร่างกายตาม สไตล์ฟุตบอลยุโรป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ กาก้า นั้นประสบความสำเร็จที่ อิตาลี
            - วันที่ 12กุมภาพันธ์ ปี 2007กาก้า จะได้รับสิทธิให้เป็นพลเมืองของ อิตาลี อย่างเป็นทางการ





เกียรติประวัติ ระดับสโมสร

              เซาเปาโล
              โคปปา เซาเปาโล เดอ จูเนียร์ : 2000
           ทอร์นีโอ ริโอ : ปี 2001
           ซุปเปอร์ คัมปิโอนาโต เปาลิสต้า : ปี 2002  

           เอซี มิลาน
            ยูโรเปี้ยน ซูปเปอร์ คัพ : ปี 2003, 2007
            เซเรีย อา : ปี 2004 
            อิตาเลียน ซูปเปอร์ คัพ : ปี 2004 
            ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2007
            ชิงแชมป์ฟุตบอลสโมสรโลก : 2007 



เกียรติประวัติ ระดับชาติ

            ฟีฟ่า เวิล์ด คัพ : ปี 2002 
            คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ :ปี 2005, 2009



เกียรติยศส่วนตัว

           โบลา เดอ โออูโร่ โกลเด้น บอล (นักเตะยอดเยี่ยมลีกบราซิล) ปี 2002
           โบลา เดอ ปราตา (นักเตะยอดเยี่ยมตามตำแหน่งกองกลาง) ปี 2002
            ผู้เล่นยอดเยี่ยมคอนคาเคฟ : 2003
            หน้าใหม่เซเรียอาร์ยอดเยี่ยม : 2003
            ผู้เล่นต่างชาติยอดเยี่ยมของเซเรียอาร์ : 2004, 2006, 2007
            นักฟุตบอลเซเรียอาร์ยอดเยี่ยมแห่งปี : 2004, 2007
            ดาวซัลโวแชมป์เปี้ยนลีดอันดับสาม : 2005-06 
            สุดยอดมิดฟิลด์แชมเปี้ยนลีก : 2005
            ติดสุดยอดทีมแห่งปีของยูฟ่า : 2006, 2007
            ติดสุดยอดทีมของฟีฟ่า : 2006,2007, 2008
            เปาโลเน่ ดีอาเจนโต(บอลเงิน) : 2006-07
            ดาวซัลโวแชมเปี้ยนลีก : 2006-07
            ผู้เล่นตัวรุกยอดเยี่ยมของแชมเปี้ยนลีก : 2006-07
            นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า : 2007
            นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า : 2007
            รางวัลบัลลงดอร์ : 2007
            บอลทองคำ ฟุตบอลโลก : 2007
            โตโยต้า อวอร์ด : 2007
            เพลย์เมคเกอร์ยอดเยี่ยมประจำปี : 2007
            นักกีฬาลาตินยอดเยี่ยม : 2007
            ติด 1 ใน 100 บุคคลทรงอิทธิพล นิตยสาร ไทม์ : 2008, 2009
            ติดทีมยอดเยี่ยมของฟีฟ่า : 2008
            บอลทองคำ คอนเฟดเดเรชั่น : 2009
            
           

"จอมปั่นเกมส์ "



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=27pPBjWNRc0











Stevan  Gerrard



คิดอะไรไม่ออกบอก "เจอร์รร์าด"

         สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยอดกัปตันทีมแห่งค่าย “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มีชื่อเต็มว่า สตีเว่น จอร์จ เจอร์ราร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองวิสตัน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ลิเวอร์พูล เข้าสู่เส้นทางลูกหนังจากการลงเล่นให้กับโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน คาธอลิก ไฮจ์สคูล ในเวสต์ดาร์บี้ เมืองลิเวอร์พูล โดยในตอนที่อายุ 8 ขวบ เขาเป็นสมาชิกของทีม ลิเวอร์พูล วายทีเอส  ก่อนที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีม “หงส์แดง” ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1997 โดยได้รับเงินค่าจ้างก้อนแรกที่ 700 ปอนด์ (ประมาณ  44,100 บาท) ต่อสัปดาห์

เจอร์ราร์ด ได้ชื่อว่าเป็นกองกลางพลังไดนาโม  โดยเขาเริ่มแจ้งเกิดมาในตำแหน่งปีกขวา ก่อนที่จะขยับมาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ  แต่ด้วยความเป็นนักเตะที่มีความสามารถทั้งการช่วยเกมรับ และการเติมเกมรุก แถมยังยิงไกลได้แม่นยำ ทำให้ เจอร์ราร์ด จึงค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาเป็นกองกลางเชิงรุกไปแล้ว


เริ่มต้นอาชีพค้าแข้ง

1998-2000 : ช่วงต้นการค้าแข้ง

เจอร์ราร์ด หรือที่มีนิคเนมว่า "สตีวี่จี"  ได้ลงเล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกในนามทีมลิเวอร์พูลชุดใหญ่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 โดยเขาถูกเปลี่ยนตัวลงไปเล่นแทน เวการ์ด เฮ็กเกม ในเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์น ขณะที่ เกมที่เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเกมแรก เกิดขึ้นในเกมยูฟ่า คัพ ปี 1998 ที่พบกับ เซลต้า บีโก้ เนื่องจาก เจมี่ คาราเกอร์  มิดฟิลด์จอมทัพของทีมได้รับบาดเจ็บ และแม้ว่า "หงส์แดง" จะแพ้ในนัดนั้น แต่ เจอร์ราร์ด ก็ได้รับการยกย่องอย่างมากว่าเล่นได้ดี มีอนาคตในทีมอย่างแน่นอน



ต่อมาในฤดูกาล 1999-2000 ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมบังเหียนของ เชราร์ด อุลลิเย่ร์ หนุ่มน้อยเลือดสเก๊าซ์ ก็ได้ปักหลักยึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเขาได้ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง คู่กับ เจมี่ เร้ดแนมป์ และในปีนี้เอง ที่เจอร์ราร์ด ต้องได้รับใบแดงแรกในชีวิต จากการไปทำฟาวล์ เควิน เคมป์เบลล์ กองหน้าของ เอฟเวอร์ตัน เช่นเดียวกับที่ เขาสามารถส่องประตูแรกให้กับต้นสังกัดในเกมพรีเมียร์ชิพ ช่วงท้ายฤดูกาล ที่เอาชนะ เชฟฟิลด์ เวสเดย์ มาได้อย่างท้วมท้น 4-1

อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นปีที่ไม่ค่อยรื่นรมย์สำหรับ เจอร์ราร์ด มากนัก เนื่องจากเขาต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บที่หลังอยู่บ่อยครั้ง จนมีข่าวออกมาว่า แฟนบอลทีม “หงส์แดง” อาจไม่ได้เห็นเพลงแข้งของเขาจนจบฤดูกาลเลยก็

 สตีเว่น เจอร์ราร์ด
เป็นได้ แต่จากความเอาใจใส่ของ อุลลิเย่ร์ ที่สรรหาทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญมาตรวจรักษาอย่างใกล้ชิด ก็ทำให้ เจอร์ราร์ด หายกลับมาเป็นปกติ ก่อนที่ อาการบาดเจ็บที่โคนขาหนีบ จะทำให้เขาต้องหยุดพักรักษาตัวอีกครั้ง แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น และในที่สุด เจอร์ราร์ด ก็กลับมาลงสนามได้ตามปกติ


2001-2003 : ช่วงแห่งความสำเร็จ
ในฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ด ในวัย 20 ปี ก็สามารถสลัดอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าในฤดูกาลที่แล้วได้อย่างปลิดทิ้ง  และเขาก็เล่นดีมากๆ จนได้รับตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพของอังกฤษ และพาทีม "หงส์แดง" คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ทั้ง ยูฟ่า คัพ, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ โดยสามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของยูฟ่า คัพ ซึ่ง ลิเวอร์พูล กับ อลาเบส ได้อีกด้วย

อาจได้ว่า สตีวี่จี ถือเป็นที่นักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ หลังจากที่มาเข้าร่วมชายคาของสโมสรแห่งนี้ ตั้งแต่ปี 1989 และค่อยๆพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเรื่อยๆในโรงเรียนนักเตะของ "หงส์แดง" ที่สร้างนักเตะที่อย่าง สตีฟ แม็คมานามาน และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ มาโด่งดังไปแล้ว ก่อนจะปั้น ไมเคิ่ล โอเว่น และ เจอร์ราร์ด ขึ้นมาโด่งดังเป็นรุ่นต่อมา    


ถัดมาในฤดูกาล 2001-2002 ด้วยประสบการณ์ที่เพิ่มพูนมาขึ้น ก็ทำให้ เจอร์ราร์ด ขยับฐานะจากนักเตะดาวรุ่ง กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของทีม “หงส์แดง” อย่างเต็มตัว  โดยเขามีส่วนสำคัญยิ่งจนทำให้ ลิเวอร์พูล ปิดฉากฤดูกาลที่ อันดับ 2 ของตารางพรีเมียร์ชิพ ด้วยคะแนนที่ดีที่สุดในรอบ 10 ของทีมอีกด้วย



2003-2004 : ช่วงชีวิตการเป็นกัปตันทีม

เจอร์ราร์ด ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเช่นเดิม แต่หน้าที่ที่เขาได้รับเพิ่มขึ้นก็คือ การสวมปลอกแขนกัปตันทีมครั้งแรกอย่างเป็นทางการของดาวเตะวัยเพียง 23 ปี ในขณะนั้น โดยเขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทน ซามี่ ฮูเปีย กองหลังชาวฟินแลนด์ ในเดือนตุลาคม  2003 เนื่องจากหวังให้ เจอร์ราร์ด โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น



และก็ได้ผลทีเดียวเมื่อ เจอร์ราร์ด กลายเป็นผู้เล่นที่คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมได้เสมอ ทั้งการทำงานหนักในสนาม และการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมทีม โดยในฤดูกาล 2003/2004 เจอร์ราร์ด ที่ต้องคอยไล่ตัดเกมรุกของคู่ต่อสู้ด้วยนั้น โดนใบเหลืองไปแค่ 2 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้เล่นที่เล่นบอลอย่างขาวสะอาดมากคนหนึ่ง


2004-2005 : แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก



ลิเวอร์พูล ภายใต้การปฏิรูปขนานใหญ่ ที่ไม่มี ไมเคิ่ล โอเว่น กองหน้าคนสำคัญ ซึ่งถูกขายให้ เรอัล มาดริด, อาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงของ ฌิบริล ซิสเซ่ หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศส จนทำให้ต้องพักยาว, นักเตะแกนหลักอีกหลายรายคนทีมที่ไม่สมบูรณ์ รวมถึงการเปลี่ยนกุนซือนำทัพคนใหม่ มาเป็น ราฟาเอล เบนิเตซ ที่เข้าดำรงตำแหน่งแทน อุลลิเย่ร์  ที่โดนปลดออกไป

ขณะที่ เจอร์ราร์ด เอง ก็ยังไม่รู้ว่าจะปักหลักอยู่ในแอนฟิลด์ ต่อไปหรือไม่ แต่เจอร์ราร์ดก็ยังทุ่มเทเต็มที่ในการลงสนามให้กับลิเวอร์พูล จนกระทั่งพาทีม "หงส์แดง" ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้แบบพลิกความคาดหมาย ซึ่งลิเวอร์พูล ต้องพบกับ เอซี มิลาน ยอดทีมจาก อิตาลี ในการฟาดแข้งที่สนาม อตาเติร์ก สเตเดี้ยม กรุงอิสตันบุล ประเทศตุรกี และก็ดูเหมือนว่า "หงส์แดง" จะต้องผิดหวังตั้งแต่การแข่งขันครึ่งแรกจบลง เมื่อเป็นฝ่ายตามหลังไปถึง 0-3 แต่ เจอร์ราร์ด ในฐานะกัปตันทีมก็ยังไม่ยอมแพ้ กระตุ้นให้ลูกทีมฮึดสู้ตามไปด้วย และเขาก็โหม่งประตูตีไข่แตกช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่มาเป็น 1-3 พร้อมทั้งความหวัง



หลังจากนั้น วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ก็ยิงประตูช่วยให้ ลิเวอร์พูล ไล่ขึ้นมาเป็น 2-3 ท่ามกลางความหวังที่เพิ่มขึ้นอีกของพลพรรค "เดอะ ค็อป" ที่ช่วยกันร้องเพลง You will never walk alone กระหึ่มสนามอตาเติร์ก เร่งความฮึกเหิมให้กับนักเตะ "หงส์แดง" เข้าไปอีก ก่อนที่ ซาบี อลอนโซ่ จะมาทำประตูตีเสมอให้กับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ชนิดที่แฟนบอล มิลาน ถึงกับตะลึง


 
การแข่งขันนัดดังกล่าว ต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ หลังจากที่ต่อเวลาพิเศษไปแล้ว ก็ยังเสมอกันอยู่ 3-3 และ เจอร์ซี่ ดูเด็ค นายทวารชาวโปแลนด์ ก็ช่วยเซฟจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรป มาครองได้แบบสุดมหัศจรรย์ โดยที่มีกัปตันทีมที่ชื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก้าวขึ้นไปรับถ้วยรางวัลชูขึ้นเหนือหัวประกาศให้โลกรู้ถึงความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูล และตัวเขาเอง และหลังจากจบการแข่งขันนัดดังกล่าว เจอร์ราร์ด ก็ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมจะย้ายออกจากทีมไปได้อย่างไร หลังจากที่มีค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้"

นอกจากจะพาทีมลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะทรงคุณค่าของการแข่งขันและมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ แต่ก็โดน โรนัลดินโญ่ ดาวเตะบราซิเลียนของบาร์เซโลน่า

เบียดคว้าตำแหน่งไปครอง นอจากนั้น เจอร์ราร์ด ยังอยู่ในอันดับ 3 ของรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปีของบีบีซี อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเดือน กรกฎาคม ปี 2005 ซึ่งเป็นช่วงปิดฤดูกาล การเจรจาต่อสัญญาของ เจอร์ราร์ด กับ ลิเวอร์พูล ก็ล้มเหลวลงอีกครั้ง ท่ามกลางข่าวลือว่า เชลซี ยื่นข้อเสนอมาให้ เจอร์ราร์ด ย้ายมาร่วมทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" ด้วยค่าตัวมหาศาล 32 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงที่สุดในอังกฤษ และในวันที่ 5 กรกฎาคม ปีนั้น เจอร์ราร์ด ก็ออกมาประกาศว่าเขาอยากจะย้ายออกจากแอนฟิลด์ หลังจากที่ยังตกลงเรื่องสัญญากับทางสโมสร ไม่ได้ซักที
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว แฟนบอลของลิเวอร์พูล ก็ได้เฮกันลั่น เมื่อ เจอร์ราร์ด เปลี่ยนใจในวันต่อมา และจัดการเซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ไปอีก 4 ปี ในวันที่ 8 กรกฏาคม 2005 พร้อมกับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ เพื่อนร่วมทีมที่ก้าวมาจากโรงเรียนลูกหนังของลิเวอร์พูล ด้วยกัน


   
ในฤดูกาล 2005/2006 เจอร์ราร์ด ก็เป็นกำลังสำคัญของทีมลิเวอร์พูล อีกเช่นเคย ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยังไม่ตกลงไปเลย และพาทีมพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ ด้วยลูกยิงไกลสุดสวยของเขา ที่ช่วยให้ "หงส์แดง" ตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ 3-3 ก่อนจะไปเอาชนะได้ด้วยการดวลจุดโทษ โดยลูกยิงกลสุดสวยของเขา ยิงจากระยะประมาณ 35 หลา มีความเร็ว 28 ไมล์ ต่อชั่วโมง และเป็นลูกยิงที่ดีที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ

นอกจากจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักเตะอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ทำให้เขาเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ได้รางวัลนี้ ต่อจาก จอห์น บาร์นส์ อดีตปีกจอมเลื้อยของ "หงส์แดง" ที่เคยได้รางวัลนี้ ในปี 1988



จากการทำประตูได้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ครั้งล่สุด ทำให้ เจอร์ราร์ด สามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ๆในระดับสโมสร ได้ครบทุกรายการแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็ทำประตูได้ ในยูฟ่า คัพ นัดชิงชนะเลิศกับ อลาเบส ในปี 2001 ต่อด้วย ลีก คัพ ปี 2003 ตามด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 ก่อนจะมายิงได้ในเอฟเอ คัพ ปี 2006



2006-2007 : รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้สวยหรู ด้วยการเฉือนเอาชนะ เชลซี มาได้ 2-1 ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ช่วงเปิดฤดูกาล ซึ่ง แม้ว่า เจอร์ราร์ด จะไม่ได้ลงเล่นเป็น 11 ตัวจริง ก่อนที่จะถูกส่งลงไปเล่นแทน เบาเด้นไวน์ เซนเด้น ในช่วงครึ่งหลัง แต่ หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เลย โดยพวกเขาได้อันดับ 3 ในศึกพรีเมียร์ชิพ มีคะแนนตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 21 แต้ม และในเกมเอฟเอ คัพ พวกเขาก็ไปแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล ในรอบที่สาม ขณะที่ เกมคาร์ลิ่ง คัพ ทีม “หงส์แดง” ก็กระเด็นตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปด้วยน้ำมือของ อาร์เซน่อล อีกเช่นเคย หลังปราชัยคาถิ่น แอนฟิลด์ ของตัวเอง ไปแบบย่อยยับ 3-6


อย่างไรก็ตาม สำหรับในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ลิเวอร์พูลก็ถือว่าทำผลงานได้ดี หลังจากทุบเอาชนะ บาร์เซโลน่า อดีตแชมป์ในปีที่แล้ว ได้สำเร็จ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนที่จะเขี่ย เชลซี ไปได้ในรอบรองชนะเลิศ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสิน และเข้าไปชิงดำกับอดีตคู่ปรับเก่าในปี 2001 อย่าง เอซี มิลาน อีกครั้ง แต่กลับเป็นหนังคนละม้วน เหมือน พวกเขาต้องเป็น ฝ่ายปราชัยไป 1-2 ในท้ายที่สุด


2007-2008 : ออกสตาร์ทดี แต่จบฤดูกาลมือเปล่าอีกครั้ง

   
เจอร์ราร์ด สวมบทฮีโร่ของทีมต้นแต่เกมนัดเปิดสนาม ในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า ที่ สนามวิลล่า พาร์ค โดย เจอร์ราร์ด ยิงฟรีคิกสุดสวย ระยะ 25 หลา ให้ ลิเวอร์พูล ออกนำทีมเจ้าถิ่นไปอีกครั้ง เป็น 2-1 ในนาทีที่ 87 ภายหลังจากทีม วิลล่า ทำประตูตีเสมอเพียง 2 นาทีเท่านั้น ส่งผลให้ จบเกม เจอร์ราร์ด ซิวตำแหน่ง “แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์” ไปครอง และนี่ก็ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกในเกมเปิดสนามศึกพรีเมียร์ชิพของทีม นับตั้งแต่ ปี 2002 เป็นต้นมา อีกด้วย

ในวันที่ 28 ตุลาคม 2007 เจอร์ราร์ด ลงสนามให้กับทีม ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 400 ในเกมที่พบกับ อาร์เซน่อล ซึ่งเขาทำประตูได้ด้วยรวมถึงทำประตูได้ติดต่อกัน 7 นัดรวดหลังจากนั้น ซึ่งถือเป็น นักเตะลิเวอร์พูลคนแรกที่ทำได้ นับตั้งแต่ จอห์น อัลดริดจ์ เคยทำไว้ ในปี 1989 และต่อมาในวันที่ 13 เมษายน 2008 เจอร์ราร์ด ในวัน 28 ปี ก็ลงเล่นให้กับทีม “หงส์แดง” เป็นนัดที่ 300 ในเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส


อย่างไรก็ตาม ปีนี้ เจอร์ราร์ด ก็ไม่อาจช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีแชมป์ติดไม้ติดมือได้อีกเช่นเคย โดยลิเวอรพูล จบอันดับ 4 ในศึกพรีเมียร์ชิพ และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่จะโดน เชลซี เขี่ย ตกรอบไปในที่สุด แต่ เจอร์ราร์ด ก็สามารถทำประตูให้ทีมได้เป็นกอบเป็นกำถึง 22 ลูก รวมถึงถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล พีเอฟเอ เป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี เคียงข้างกับ เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกเพื่อนร่วมทีม

2008-2009 อีกนิดเดียว ไม่น่าพลาดเลย

เจอร์ราดมีปัญหาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาตั้งแต่ต้นฤดูกาล แต่เขาก็รับมือกับมันได้อย่างไม่มีปัญหา เจอร์ราดน่าจะยิงครบร้อยในชุดลิเวอร์พูลตั้งแต่วันที่20กันยายน กับสโต๊กแต่ผู้กำกับเส้นให้เป็นลูกล้ำหน้า อย่างไรก็ตามในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จในเกมชนะพีเอสวี ไฮโอเฟ่น3-1 ในเกมยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ รอบแบ่งกลุ่ม  นอกจากนั้นเจอร์ราด

หลังจากนั้นเขาเล่นครบ100นัดให้ลิเวอร์พูลในฟุตบอลยุโรป ในวันที่10มีนาคม2009 ที่เอาชนะเรอัล มาดริด4-0 และเป็นผู้ยิงคนเดียว2ประตู และยังทำประตูจากลูกจุดโทษให้ทีมถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด4-1ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกด้วย พร้อมกันนี้ เจอร์ราดยังถูกยกย่องจาก ซีเนอดีน ซีดานว่าป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก



ในวันที่22 มีนาคม 2009 เจอร์ราดทำครั้งแฮตทริกแรกในพรีเมียร์ ลีก ในเกมที่ถล่มแอสตัน วิลล่า 5-0 และในวันที่13 พฤษภาคม 2009 เขาได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมจากการโหวตของนักข่าว และก็เป็นครั้งแรกในรอบ19ปีของนักเตะลิเวอร์พูลที่ได้รางวัลนี้ด้วย

บทสรุปของฤดูกาล2008-2009 เจอร์ราดพาลิเวอร์พูล จบอันดับที่2 เป็นรองแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เป็นแชมป์


เส้นทางกับทีมชาติอังกฤษ

นอกจากจะเป็นกำลังสำคัญของ ลิเวอร์พูล แล้ว เจอร์ราร์ด ยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ อีกด้วย โดยเขาลงเล่นให้กับทีม “สิงโตคำราม” ชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2000 ซึ่งเป็นเกมที่ อังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของ เควิน คีแกน พบกับ ยูเครน  และเขาเคยถูกเรียกติดทีมอังกฤษ ชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000 ที่ประเทศ เบลเยี่ยม และ ฮอลแลนด์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไม่อาจยึดตำแหน่งตัวจริงได้

อย่างไรก็ตาม 2 ปี ให้หลัง เจอร์ราร์ด ก็สามารถทำประตูแรก ในทีมชาติอังกฤษ ได้ในนัดที่ "สิงโตคำราม" บุกไปถล่มเอาชนะ เยอรมัน 5-1 ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โซนยุโรป โดยแมตช์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001 และได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมชาติอังกฤษ พร้อมกับพาทีมผ่านเข้ารอบสุดท้าย ฟุตบอลโลก ปี 2002 ที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ได้สำเร็จ แต่ทว่า เขาก็โชคร้าย ต้องถอนตัวออกจากทัพในทีมชุดนั้น เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนที่โคนขาหนีบ จนต้องเข้ารับการผ่าตัด


มาถึง ในศึกยูโร 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส เจอร์ราร์ด ได้กลับมาเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมในการทำศึกทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลรายการใหญ่ๆ อีกครั้ง โดยครั้งนี้ เขามีส่วนสำคัญทำให้ทีม ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ทว่า ก็ต้องตกรอบไป หลังจากดวลจุดโทษแพ้ให้กับ ทีมเจ้าภาพ ไปอย่างน่าเสียดาย  และอีก 2 ปี ถัดมาในฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่เยอรมัน เจอร์ราร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานก่อนที่ทัวร์นาเม้นต์จะเริ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม เจอร์ราร์ด ก็กลับมาฟิตสมบูรณ์ได้ทันเวลา และช่วยพาทีมอังกฤษ ทำผลงานเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ โดยไปพบกับ โปรตุเกส และเกมก็ยืดเยื้อจุดถึงการดวลจุดโทษ ซึ่ง เจอร์ราร์ด ก็ต้องฝันร้าย เมื่อเป็น1 ใน 3 ผู้เล่นอังกฤษ ที่ยิงไปติดเซฟของ ริคาร์โด้เปไรร่า  ผู้รักษาประตูของทีม ฝอยทอง และกลายเป็นการปิดฉากเส้นทางของอังกฤษในฟุตบอลครั้งนี้  และ เจอร์ราร์ด ก็คว้าดาวซัลโวสูงสุดของทีม ไปครอง ที่ 2 ประตู

เจอร์ราดได้รับเลือกให้เป็นรองกัปตันทีมชาติอังกฤษภายใต้การคุมทีมของสตีฟ แม็คคลาเรน อังกฤษพ่ายต่อโคเอรเชีย และรัสเซีย มีผลทำให้กระเด็นตกรอบคัดเลือกยูโร2008ไปอย่างเจ็บปวด ปัจจุบันทีมชาติอังกฤษแต่งตั้ง ฟาบิโอ คาเปลโล่ มากุมบังเหียนแทนที่ สตีฟ แม็คลาเรน และกำลังไปได้สวย ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนยุโรป


ชีวิตส่วนตัว

เจอร์ราร์ด แต่งงานกับ อเล็กซ์ คูร์ราน และมีลูกสาวสองคน คือ ลิลลี่-เอลล่า เจอร์ราร์ด (เกิดเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2004) และ เล็กซี่ เจอร์ราร์ด (เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2006) โดยทั้งคู่แต่งงานกันที่ คลิเวเดน ในวันที่ 16 มิถุนายน 2007 ซึ่งเป็นวันเดียวกับงานแต่งของเพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษ อย่าง แกรี่ เนวิลล์, ไมเคิ่ล คาร์ริค และ ร็อกสตาร์ชื่อดัง อย่าง ร็อด สจ๊วร์ต ก่อนที่หนึ่งวันให้หลัง จอห์น เทอร์รี่ กองหลังกัปตันทีมเชลซี ก็สละโสดตามไปอีกเช่นกัน

ในวันที่ 1 กันยายน 2006 เจอร์ราร์ด ได้เขียน อัตชีวประวัติของตัวเอง ที่มีชื่อหนังสือว่า “Gerrard: My Autobiography”  ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว และชีวิตการ

เป็นนักฟุตบอลกับ ลิเวอร์พูล และ ทีมชาติอังกฤษ แถมหนังสือเล่มนี้ ยังได้รับรางวัลหนังสือกีฬาแห่งปี “กาแล็กซี่ บริติช บุ๊ค อวอร์ดส์” ซึ่งเอาชนะ หนังสืออัตชีวประวัติของยอดดาวยิงระดับตำนานของโลก อย่าง เปเล่ อีกด้วย

ในวันที่ 29 ธันวาคม 2006 เจอร์ราร์ด ได้รับชั้นยศ เอ็มโอบี (Member of the Order of the British Empire) จาก พระราชินี อลิซาเบธ ที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ในฐานะผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่วงการกีฬาของอังกฤษ

เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร

FA Premier League:
Runner-up: 2001-02

FA Cup: Winner:
2000-01, 2005-06

League Cup:
Winner: 2000-01, 2002-03
Runner-up: 2004–05

Community Shield:
Winner: 2001, 2006
Runner-up: 2002

FA Youth Cup:
Winner: 1995–96

UEFA Champions League:
Winner: 2004-05
Runner-up: 2006-07

UEFA Cup:
Winner: 2000-01

European Super Cup:
Winner: 2001, 2005

FIFA World Club Championship:
Runner-up: 2005


ส่วนตัว :

Member of the Order of the British Empire (MBE): 2007
UEFA Team of the Year: 2004-2005, 2005-2006, 2006-2007
FIFPro World XI: 2006-2007
PFA Players' Player of the Year: 2005-2006
PFA Young Player of the Year: 2000-2001
PFA Fans' Player of the Year: 2000-2002
PFA Team of the Year: 2000-2001, 2003-2004, 2004-2005, 2005-2006, 2006-2007, 2007-2008
Match of the Day's Goal of the Season: 2005-06
BBC Sports Personality of the Year Third Place: 2005
UEFA Champions' League Most Valuable Player: 2004–05
Barclays Player of the Month: March 2001, March 2003, December 2004, April 2006
ที่มา:http://www.sport-idol.com/57/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94/



 สตีเว่น เจอร์ราร์ด "กองกลางมหัศจรรย์ของอังกฤษ"





ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=27e0DF6xR04&feature=player_embedded















Thierry  Henry




"ห้อย" เหนือธรรมชาติ




เธียร์รี่ อองรี สุดยอดดาวยิงแดนน้ำหอม

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : เธียร์รี่ ดาเนี่ยล อองรี
วันเกิด : 17 สิงหาคม 1977 (อายุ 30 ปี)
สถานที่เกิด : เลส อูลิส, เอสซองเน่, ฝรั่งเศส
ส่วนสูง : 1.88 เมตร (6 ฟุต 2 นิ้ว)
ตำแหน่ง : กองหน้า, ปีก
สโมสรปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า 
ทีมชาติ :  ฝรั่งเศส

ประวัติความเป็นมา

เธียร์รี่ อองรี หรือชื่อเต็มว่า “เธียร์รี่ ดาเนี่ยล อองรี” นักฟุตบอลชื่อดัง เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปี 1977 ที่กรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส ปัจจุบัน ค้าแข้งอยู่กับสโมสร บาร์เซโลน่า ยอดทีมในศึกลา ลีกา สเปน โดยเขาเล่นในตำแหน่งกองหน้า รวมถึงยังสามารถโยกไปเล่นในตำแหน่งปีกได้อีกด้วย อาจได้กว่า ชื่อของ อองรี ได้รับการยกย่องว่าเป็นดาวเตะฝีเท้าระดับพระกาฬ ที่โดดเด่นในการจบสกอร์ และการสร้างสรรค์เกมรุกที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในวงการลูกหนังปัจจุบัน



ชีวิตวัยเด็ก  

อองรี เกิดและเติบโตที่ Les Ulis ซึ่งอยู่แถบชานเมืองกรุงปารีส พอเขาอายุ 7 ปี อองรีก็ฉายแววความเป็นนักฟุตบอลฝีเท้าเยี่ยม จนทำให้ถูกดึงตัวไปร่วมทีมฟุตบอลท้องถิ่นที่ชื่อว่า Les Ulis ก่อนที่ในปี 1989 เขาจะย้ายไปร่วมทีม US Palaiseau แต่หลังนั้น 1 ปี พ่อของเขาก็มีปากเสียงกับสโมสร ส่งผลให้ อองรี ต้องย้ายไปร่วมทีม Viry-Châtillon เป็นเวลา 2 ปี

เริ่มต้นชีวิตค้าแข้ง

1992-1999 : โมนาโก



อองรี เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยการเป็นนักเรียนลูกหนังของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ที่ แกร์ฟ็องแตง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ผลิตนักฟุตบอลชั้นดีขึ้นมาสู่วงการฟุตบอลฝรั่งเศส มากมายหลายคน หลังจากผ่านการฝึกปรือฝีเท้าในสถาบันชั้นยอดมาแล้ว อองรี ก็ลงเล่นให้กับทีมระดับเยาวชนมา 4 ทีม ก่อนจะเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอย่างจริงๆจัง กับ โมนาโก ทีมดังของแดนน้ำหอมนั่นเอง และได้ลงสนามตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยในตอนนั้น โมนาโก มี อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นกุนซือ และ ฤดูกาลแรกของเขากับ โมนาโก อองรี ซึ่งถูกจับให้เล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ยิงไป 3 ประตู จากการลงเล่น 18 นัด

ในปี 1996 อองรี ได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งฝรั่งเศสยอดเยี่ยมแห่งปี และในฤดูกาล 1996-1997 เขาก็โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมจนพาทีม โมนาโก คว้าแชมป์ลีกเอิงมาครองได้สำเร็จ ต่อมาในฤดูกาล 1997-1998 เขาก็สามารถพาทีมผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ พร้อมกับทำสถิติเป็นนักฟุตบอลฝรั่งเศส ที่ยิงประตูได้มากที่สุดของการแข่งขัน โดยทำไป 7 ประตู ถัดมาในฤดูกาลที่ 3 ของเขากับโมนาโก อองรี ถูกเรียกติดทีมชาติฝรั่งเศสครั้งแรก  และเขายังมีส่วนร่วมในทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก ปี 1998 อีกด้วย หลังจากนั้นอีก 2 ฤดูกาลต่อมา อองรี ก็ยังคงทำผลงานให้กับ โมนาโกได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่ในที่สุด เขาจะย้ายออกจากทีม ในเดือนมกราคม ปี 1999

1999 : ยูเวนตุส

จากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก 1998 ทำให้ อองรี ถูก ยูเวนตุส ทีมมหาอำนาจของอิตาลี คว้าตัวไปร่วมทีม ในเดือนมกราคม ปี 1999 โดยจ่ายค่าตัวให้กับ โมนาโก เป็นจำนวน 10.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 693 ล้านบาท) แต่ที่ ยูเวนตุส เขาถูกจับไปเล่นในตำแหน่งปีก ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งถนัดของเขา ทำให้ อองรี โชว์ฟอร์มไม่ค่อยออก และทำได้ 3 ประตู เท่านั้น จากการลงสนามเป็นตัวจริง 16 นัด

1999-2007 : อาร์เซน่อล



หลังจากที่ อองรี ผิดหวังกับชีวิตค้าแข้งในอิตาลี เขาก็มีโอกาสกลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง เมื่อ อาร์เซน่อล ที่มี เวนเกอร์ อดีตเจ้านายเก่าของเขาที่โมนาโก เป็นกุนซืออยู่ ตัดสินใจเสี่ยงทุ่มเงิน 10.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 693 ล้านบาท) กระชากตัว อองรี มาสู่ทีม “ปืนใหญ่” ในเดือนสิงหาคม ปี 1999

กล่าวได้ว่า ในการย้ายมาเล่นให้กับอาร์เซน่อล นั้น  อองรี ได้กลับมาเป็นกองหน้าตัวเป้า และนั่นก็ทำให้เขาค่อยๆ กลับมาเล่นได้ดีอีกครั้ง โดยเพียงฤดูกาลแรกในเกาะอังกฤษ เขาก็สามารถยิงประตูได้ถึง 26 ลูก รวมทุกรายการ  พร้อมกับช่วยให้ อาร์เซน่อล ได้อันดับ 2 ของศึกพรีเมียร์ รองจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นแชมป์ในปีนั้น รวมถึงรองแชมป์ ยูฟ่า คัพ ซึ่ง อาร์เซน่อล ไปพ่ายให้กับ กาลาตาซาราย ในรอบชิงชนะเลิศ

หลังกลับมาจากชัยชนะกับทีมชาติฝรั่งเศส ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ “ยูโร 2000” ที่ประเทศ เบลเยี่ยม และ ฮอลแลนด์ ฤดูกาลที่ 2 ของอองรีกับอาร์เซน่อล (2000-2001) ก็เป็นไปอย่างสวยหรู โดยเขากลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดประจำทีม และขุนพล “เดอะกันเนอร์ส” ก็กลายเป็น 1 ในทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดในลีกพรีเมียร์ชิพ แม้ว่าในปีนี้ เขาจะยังไม่สามารถพาทีมคว้าถ้วยรางวัลใดๆ ได้เลยก็ตาม 



ในที่สุด ความสำเร็จก็มาถึงทีมอาร์เซน่อล เมื่อในฤดูกาล 2001-2002 อองรี มีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมประกาศศักดาความแชมป์พรีเมียร์ชิพ มาครองได้สำเร็จ โดยทำคะแนนนำห่าง ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 2 ถึง 7 คะแนน รวมถึงคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้อีกหนึ่งใบ หลังเอาชนะ เชลซี มาได้ 2-0 ในนัดชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ อองรี ก็ยังกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดในลีกของฤดูกาลนั้น อีกด้วย ด้วยผลงานซัดไปถึง 32 ประตู ในทุกรายการ ส่งผลให้ อาร์เซน่อล สามารถคว้ามดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

เข้าสู่ฤดูกาล 2002-2003 แม้จะต้องเสียแชมป์ลีกให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ อองรี ก็ยังสามารถพาอาร์เซน่อล ได้แชมป์เอฟเอ คัพ อีกครั้ง และเขาก็ทำประตูไปถึง 42 ลูก จากทุกรายการที่ลงแข่งขัน ส่งผลให้ในที่สุด อองรี ก็คว้าแชมป์นักฟุตบอลอาชีพยอดเยี่ยมแห่งปีของ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) และ นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี จากสมาคมนักข่าวกีฬา มาครองได้สำเร็จ รวมถึงรองแชมป์รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกประจำปี 2003 อีกด้วย



ในฤดูกาล 2003-2004 อองรี พา อาร์เซน่อล กลับมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง ก่อนจะมาได้รับหน้าที่เป็นกัปตันทีมในช่วงฤดูร้อนปี 2005 หลังจากที่ ปาทริค วิเอร่า กัปตันทีมคนเก่า ย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส และซีซั่นนี้ อองรี ก็กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้กับอาร์เซน่อล ได้มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร หลังจากที่ยิง 2 ประตู ในนัดที่ อาร์เซน่อล เอาชนะ สปาร์ต้า ปราก ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ปี 2005 ทำให้ อองรี ยิงประตูแซงสถิติเดิม 185 ประตู ของ เอียน ไรท์ ได้แล้ว

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2006 เป็นอีก 1 วันประวัติศาสตร์ของ อองรี และ อาร์เซน่อล เมื่อเขายิงประตู เวสต์แฮม ได้ ในศึกพรีเมียร์ลีก ทำให้สร้างสถิติยิงประตูในลีก ให้กับ อาร์เซน่อล ได้ 151 ประตู ทำลายสถิติเดิมของ คลิฟฟ์ บาสติน ลงได้
นอกจากจะยิงประตูได้ยอดเยี่ยมแล้ว อองรี ยังผ่านบอลได้แม่นยำ และเฉียบคมด้วย โดยในฤดูกาล 2002-2003 อองรี จ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ 23 ครั้ง เป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีก


ในฤดูกาล 2005-2006 อาร์เซน่อล อาจจะทำผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้ตกต่ำลงไป โดยได้เพียงอันดับ 4 แต่ อองรี ก็พา “ปืนใหญ่” เข้าชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เป็นครั้งแรก ก่อนจะพ่าย บาร์เซโลน่า ไปแบบน่าเสียดาย ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าเขาอาจจะย้ายไปร่วมทีม บาร์เซโลน่า อีกด้วย

แต่ในท้ายที่สุดแล้ว อองรี ก็ตกลงต่อสัญญาฉบับใหม่เพื่ออยู่ช่วย อาร์เซน่อล ต่อไป อีก 4 ปี โดยที่ เดวิด ดีน ประธานสโมสร “ปืนใหญ่” เผยว่ามีสโมสรหนึ่งในยุโรป เสนอเงิน 50 ล้านปอนด์ (3,300 ล้านบาท) เพื่อขอซื่อตัว อองรี ไปจาก อาร์เซน่อล แต่เขาก็ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไป มิเช่นนั้นแล้ว อองรี จะกลายเป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก ทำลายสถิติเดิมตอนที่ ซีเนอดีน ซีดาน ย้ายจาก ยูเวนตุส มาร่วมทีม รีล มาดริด เมื่อปี 2001 ด้วยค่าตัว 47 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,102 ล้านบาท) ลงได้

ฤดูกาล 2006-2007 อองรี ต้องเจออาการบาดเจ็บรุมเร้า แต่เขาก็ยังยิงประตูได้ 10 ลูก จากการลงเล่น 17 นัดในเกมลีก และ อองรี ก็ต้องชวดลงสนามให้กับอาร์เซน่อลไปตั้งแน่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย, เท้า และ หลัง รบกวน ก่อนที่เขาจะกลับมาฟิตทันลงเล่นเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในฐานะตัวสำรอง แต่เขาก็ต้องกระโผลกกระเผลกออกจากสนามไปอีกครั้ง ซึ่งอาการบาดเจ็บครั้งส่งให้เขาต้องพักยาวไปอีกอย่างน้อยถึง  3 เดือนเลยทีเดียว ซึ่งหมายความว่า ฤดูกาลนี้ของเขาได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการแล้ว



หลังจากตกเป็นข่าวย้ายออกจากถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม มาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด อองรี ก็ย้ายไปร่วมทีม บาร์เซโลน่า ในวันที่ 25 มิถุนายน ปี 2007 ในราคา 24 ล้านยูโร (ราว 1,272 ล้านบาท) ด้วยสัญญาค้าแข้งระยะเวลา 4 ปี พร้อมรับค่าเหนื่อยกว่า 6.8 ล้านยูโร (ประมาณ 360.4 ล้านบาท) ต่อปี

2007-ปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า

ที่ บาร์เซโลน่า อองรี ยังได้รับมอบหมายเบอร์ 14 เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ค้าแข้งอยู่กับ อาร์เซน่อล โดยเขาสามารถยิงประตูแรกในนามทีม "เจ้าบุญทุ่ม" ในวันที่ 19 กันยายน 2007 ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ชนะเอาชนะ ลียง 3-0 ต่อมาในวันที่ 29 กันยายน 2007 อองรี ก็จัดการซัดแฮตทริคแรกของเขาบนแผ่นดินสเปน ในเกมที่พบกับ เลบันเต้ ในศึกลาลีกา อย่างไรก็ตาม อองรี ก็ถูกจับให้ไปเล่นเป็นตำแหน่งปีกเกือบทั้งตลอดซีซั่น ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถรีดฟอร์มสุดยอดออกมาได้เหมือนตอนที่อยู่กับ "เดอะกันเนอร์ส" อย่างไรก็ตาม เมื่อจบฤดูกาล อองรี ก็เป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีม ด้วยผลงานยิงไป 19 ประตูในทุกรายการ นำหน้า ซามูเอล เอโต้ (18 ลูก) และ ลีโอเนล เมสซี่ (16 ลูก) แต่ทว่า อองรี ก็ต้องปิดฉากฤดูกาลแบบมือเปล่าเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้ว ที่บาร์ซ่า ไม่อาจมีถ้วยมาประดับสโมสรได้ เป็นผลให้แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ต้องประเด็นออกจากทีม

จากการเข้ามาคุมทีมของ โจเซป กวาดิโอลาร์ อดีตเด็กเก่าของสโมสรเจ้าบุญทุ่ม ซึ่งเทิร์นโปรรับหน้าที่โค้ทเป็นครั้งแรก และมีผลงานไม่ค่อยดีนักใน 5-6 นัดแรก แต่หลังจากนั้น บาร์เซโลนาก็ระเบิดฟอร์มกระจาย!!! ด้วยผลงานคุมทีม 96 นัด ชนะไปถึง 67 !!! เฉพาะในลีก 38 นัด ได้ 87 คะแนน ทำคะแนนทิ้งห่างที่สองอย่างคู่รักคู่แค้น เรอัล มาดริดถึง 9 แต้ม คว้าแชมป์ตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล

ยังไม่พอ เป้าหมายของอองรี ที่เจ้าตัวเฝ้ารอมาเป็นเวลานาน ก็บรรลุผลสำเร็จสักที เมื่อทีมบาร์เซโลนา คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก ที่ตั้งแต่เป็นนักฟุตบอลอาชีพมายันอายุเลย 30 อองรียังไม่เคยสัมผัสเลยสักครั้ง พอบวกกับแชมป์โคปปาเดลเรย์ด้วย ทำให้การคว้าแชมป์คร้งแรกกับบาร์เซโลนา เป็นการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ถือเป็นฤดูดาลที่เปี่ยมสุขของอองรี!!!


ถึงแม้จะได้ลงไม่มากนักบวกกับอายุที่มากขึ้น แต่อองรีก็ยังคงมีความคมอยู่ เห็นได้จากการลงสนาม ฤดูกาล 2008/09 ทั้งสิ้น 89 นัด ยิงได้ 45 จ่ายให้ยิงอีก 23 ประตู แม้วัยจะล่วงเลยแล้ว เขายังคงเป็นเพชรฆาตแดนหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

ทีมชาติฝรั่งเศส

ด้วยฝีเท้าที่ฉกาจฉกรรจ์เกินวัย ทำให้ อองรี ก้าวขึ้นไปติดทีมชาติฝรั่งเศส และลงสนามให้ทีม “ตราไก่” เป็นครั้งแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1997 ในนัดที่พบกับ แอฟริกาใต้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น 4 เดือน อองรี ลงเล่นให้กับทีมชาติฝรั่งเศสชุดอายุไม่เกิน 21 ปี และพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลก มาครองได้สำเร็จ

ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ อองรี ถูกเรียกตัวไปติดทีม “ตราไก่” ด้วย เช่นเดียวกับ ดาวิด เทรเซเก้ต์ เพื่อนคู่หูของเขาในทีมโมนาโก และเขาก็ช่วยพาทีมชาติฝรั่งเศส คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก มาครองได้เป็นครั้งแรก ด้วยการเอาชนะ บราซิล ในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่เขายิงได้ 3 ประตู ในการแข่งขันครั้งนั้น



หลังจากนั้น อองรี ก็พาทีมชาติฝรั่งเศส ไปคว้าแชมป์ยูโร 2000 ที่ ฮอลแลนด์ กับ เบลเยี่ยม รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ด้วยการเอาชนะ อิตาลี ในรอบชิงชนะเลิศ แต่ในศึกฟุตบอลโลกปี 2002 ฝรั่งเศส กลับกระเด็นตกรอบแรกไปอย่างพลิกความคาดหมาย อย่างไรก็ดี  อองรี ก็สามารถพาทีม “ตราไก่” คว้าแชมป์ฟุตบอลคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ปี 2003 ได้สำเร็จ โดยที่เขาเป็นดาวซัลโว และนักเตะยอดเยี่ยมของการแข่งขัน อีกด้วย

ในยูโร ปี 2004 ที่ประเทศ โปรตุเกส อองรี พาทีมชาติฝรั่งเศส เข้าถึงเพียงรอบก่อนรองชนะเลิศ เท่านั้น หลังปราชัยให้กับ กรีซ 0-1 พอเข้าสู่ฟุตบอลโลกปี 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน อองรี ก็สามารถพาทีม “ตราไก่” ประสบความสำเร็จ ได้ไกลถึงนัดชิงชนะเลิศ โดยไปพบกับ อิตาลี ก่อนที่จะแพ้ลูกจุดโทษไปอย่างน่าเสียดาย 3-5 แต่จบทัวร์นาเม้นต์ อองรี ก็ได้เป็นดาวซัลโวสูงสุดร่วม เป็นการปลอบใจ เช่นเดียวกับ มีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์นี้

วันที่ 13 มกราคม ปี 2007 อองรี ยิงประตูที่ 41 ในนามทีมชาติได้สำเร็จ ในเกมยูโร รอบคัดเลือก ที่พบกับ หมู่เกาะแฟโร ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลฝรั่งเศสที่ยิงประตูให้กับทีมชาติมากที่สุดตลอดกาล เทียบเท่ากับ มิเชล พลาตินี่ อดีตดาวเตะระดับตำนานของทัพ “เลอ เบลอส์” และประธานสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป คนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม อีก 4 วันถัดมา เขาก็จัดการเหมา 2 ประตู ในเกมที่พบกับ ลิทัวเนีย ในยูโร 2008 รอบคัดเลือก  ส่งผลให้เขากลายเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูให้กับทีมชาติฝรั่งเศสมากสุดในประวัติศาสตร์ ทันที และในวันที่ 3 มิถุนายน 2008 อองรี ก็ลงเล่นทีมชาติครบ 100 นัด ในเกมที่พบกับ โคลอมเบีย ซึ่งเป็นนักเตะฝรั่งเศสคนที่ 6 ที่ทำได้อีกด้วย

เข้าสู่เกมยูโร 2008 รอบสุดท้าย ที่ประเทศ ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ อองรี พลาดลงเล่นเกมนัดเปิดสนามที่พบกับ โรมาเนีย ก่อนที่จะกลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในนัดที่พบกับ ฮอลแลนด์ และ  อิตาลี ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการกระเด็นตกรอบแรกได้สำเร็จ โดยเขาทำได้ 1 ประตูเท่านั้นในทัวร์นาเม้นต์นี้  จากเกมที่แพ้ ฮอลแลนด์ 4-1 ในนัดที่สอง รอบแบ่งกลุ่ม

สไตล์การเล่น

แม้ว่าสมัยยังเป็นเยาวชนดาวรุ่ง อองรี จะเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า แต่เขาก็ได้ใช้เวลาการเล่นในตำแหน่งปีกให้กับ โมนาโก และ ยูเวนตุส ไปไม่น้อยเหมือนกัน และเมื่ออองรี ย้ายมาร่วมทีม อาร์เซน่อล ในปี 1999 เวนเกอร์ กุนซือของทีมก็เปลี่ยนให้เขาไปเล่นในตำแหน่งกองหน้าอีกครั้ง โดยมักจะยืนคู่กับ เดนิส เบิร์กแคมป์ อดีตกองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ ขณะที่ในระหว่างปี 2004-2005 เวนเกอร์ ได้ปรับมาให้ อองรี มาเล่นเป็นกองหน้าต้วเป้า ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้สถิติการยิงประตูของเขาลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด



ทีเด็ดของ อองรี ในการเล่นเป็นกองหน้า ก็คือ ความสามารถของเขาในการยิงประตูที่เฉียบขาด และค่อนข้างนิ่ง โดยเฉพาะการเผชิญหน้าคู่ต่อสู้แบบตัวต่อตัว นอกจากนี้ เขายังสามารถฉีกไปเล่นเป็นปีกซ้าย พร้อมทั้งกระชากลากเลื้อยเข้ามาหาจังหวะสังไกได้เอง หรือแม้กระทั่งเปิดให้เพื่อนทำประตูได้อย่างเหนือชั้น ไม่เพียงเท่านั้น อองรี ยังมีจุดอันตรายอยู่ที่การยิงลูกฟรีคิก รวมถึง เพชฌฆาตสังหารลูกจุดโทษได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

ชีวิตนอกสนาม

งานด้านสังคม



อองรี เป็นสามาชิกกลุ่มนักฟุตบอลฟีฟ่า ของ องค์การยูนิเซฟ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมนักฟุตบอลอาชีพเป็นพรีเซนเตอร์ในการโฆษณารณรงค์เกี่ยวกับฟุตบอลให้กับเด็กทั่วโลก นอกจากนี้ เขายังเป็นแกนนำในการต่อต้านการเหยียดสีผิวในวงการลูกหนังโลกอีกด้วย หลังจากที่ อองรี เคยตกเป็นเหยื่อของการเหยียดสีผิวมาแล้ว จากการให้สัมภาษณ์ของ หลุยส์ อราโกเนส อีกอดีตเทรนเนอร์ทีมชาติสเปน ที่กล่าวถึง อองรี ว่าเป็น  "black shit" และอองรี ก็ได้เป็นพรีเซนเตอร์ ให้กับโครงการ Stand Up Speak Up ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรณรงค์การเหยียดสีผิวในวงการฟุตบอลของไนกี้ อีกด้วย

งานด้านวงการโฆษณา 

ในปี 2006 อองรี ถือเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าทางการตลาดมากที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก เช่นเดียวกับที่เป็นนักฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 8  ในพรีเมียร์ชิพ ด้วยทรัพย์สินกว่า 21 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,386 ล้านบาท) ซึ่งรายได้หลักก็น่าจะมาจาการ ได้เป็นพรีเซนเตอร์และเซ็นสัญญากับหลายองค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Renault Clio, ไนกี้, รีบ้อค และล่าสุด เขาได้เป็น 1 ในพรีเซนเตอร์ของบริษัท ยิลเล็ตต์  ร่วมกับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ไทเกอร์ วู้ดส์  รวมถึงเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องดื่ม เป๊ปซี่ ร่วมกับ เดวิด เบ๊คแฮม และ โรนัลดินโญ่ อีกด้วย

ข้อมูลลับเฉพาะ

- อองรี เป็นชาวฝรั่งเศส เชื้อสาย อันติลเลียน (ประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน) โดยพ่อของเขา นามว่า อองโตนี มาจาก เกาะกัวเดลูป ขณะที่ แม่ของเขา คือ มารีเซ่ มาจาก เกาะมาร์ตินิก



- แม้จะประสบความสำเร็จ ในอาชีพลูกหนังอย่างมากมาย แต่ในเรื่องชีวิตครอบครัว อองรี กลับต้องเจอมรสุมอย่างหนักเหนี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อชีวิตคู่ของเขาต้องสิ้นสุดลง จากการหย่าร้างกับ “แคลร์” นิโคล แมร์รี่ อดีตภรรยาซึ่งเป็นนางแบบชาวอังกฤษ ในเดือน กันยายน ปี 2007 โดยทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ชื่อว่า เทีย



- อองรี ชื่นชอบกีฬาบาสเกตบอลไม่แพ้กับกีฬาฟุตบอล โดยเขามักจะเดินทางไปชมการเล่นของ โทนี่ ปาร์คเกอร์ นักบาสเกตบอลชื่อดังของ ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ และเพื่อนซี้ของเขา อยู่เป็นประจำ ยามว่างจากการเล่นฟุตบอล นอกจากนี้ เขายังชื่นชอบฝีไม้ลายมือการเล่นของ อัลเลน ไอเวอร์เซ่น นักบาสเกตบอลของทีม เดนเวอร์ นักเก็ตต์ อีกด้วย

เกียรติยศที่เคยได้รับ

โมนาโก 
แชมป์ลีกเอิง : 1996-1997
แชมป์ ซูเปอร์ คัพ : 1997

อาร์เซน่อล
แชมป์พรีเมียร์ลีก : 2001-2002, 2003-2004
แชมป์เอฟเอ คัพ : 2002, 2003, 2005
แชมป์คอมมิวนิตี้ ชิลด์ : 2002, 2004
รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2006
รองแชมป์ยูฟ่า คัพ : 2000

บาร์เซโลนา
แชมป์ลาลีกา : 2008/09
แชมป์โคปปา เดล เรย์ ลีกคัพ : 2008/09
แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก : 2008/09

ทีมชาติฝรั่งเศส 
ฟุตบอลโลก : แชมป์ (1998), รองแชมป์ (2006)
ฟุตบอลยุโรป : แชมป์ (2000)
คอนเฟเดอเรชั่น คัพ : แชมป์ (2003)

ส่วนตัว 
รางวัลดาวซัลโวสูงสุดของยุโรป : 2004, 2005 
รองนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก : 2003, 2004
ดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ชิพ : 2001-2002, 2003-2004, 2004-2005, 2005-2006
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักข่าว : 2002-2003, 2003-2004, 2005-2006
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ : 2002-2003, 2003-2004
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศส : 2000, 2002, 2003, 2004, 2005 
รองนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป : 2003 (อันดับ 2), 2006 (อันดับ 3)
ที่มา:http://www.sport-idol.com/71/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B5/

"ห้อย"เหนือธรรมชาติ




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=ko5jBnTn9hU&feature=player_embedded











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น