it's me

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Pele เปเล่ “ไข่มุกดำแห่งเมืองแซมบร้า”

Pele 

เปเล่ “ไข่มุกดำแห่งเมืองแซมบร้า”

ข้อมูลส่วนตัว 

ชื่อเต็ม : เเอ็ดสัน อารันเตส โด นาสซิเมนโต้
วันเกิด : 23 ตุลาคม 1940 (อายุ 67 ปี)
สถานที่เกิด : เตรส โคราซอส, บราซิล
ส่วนสูง : 1.74 เมตร (5 ฟุต 8 นิ้วครึ่ง)
ทีมชาติ : บราซิล (แขวนสตั๊ดแล้ว)
ตำแหน่ง : กองหน้า

ประวัติความเป็นมา

เอ็ดสัน อารันเตส โด นาสซิเมนโต้ หรือที่ทั่วโลกรู้จักในนามของ “ไข่มุกดำ”เปเล่ อดีตนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “โคตรบอล” ขนานแท้และยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ด้วย

คุณสมบัติของเปเล่ ล้วนเป็นที่ถวิลหาของโค้ชทุกทีมความสามารถเป็นที่ทั้งอยาก และยากจะเลียนแบบของนักเตะในทุกยุคทุกสมัย เล่นบอลได้ดีทั้งสองเท้าเข้าข่ายพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกของฟุตบอล ผ่านบอลแม่นราวจับวาง เป็นตัวจบสกอร์ที่เพอร์เฟกต์ เรียกได้ว่าเป็นกองหน้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโลกเลยทีเดียว

ด้านความเร็ว และความแข็งแกร่ง เปเล่ ไม่เคยเป็นสองรองใครแม้ยามครอบครองบอล ชีวิตประสบความสำเร็จจนแทบจะสำลัก 2 ประตูจากที่ตัวเองลั่นไกสังหารนั้นพา “แซมบ้า” บราซิล คว้าแชมป์โลกมาด้วย รวมแล้วเปเล่ ขึ้นรับถ้วยแชมป์ 3 สมัย แต่ เปเล่ รีไทร์ จากวงการตั้งแต่ปี 1977 หลังจากนั้นชีวิตก็มิได้ห่างหายจากวงการฟุตบอล ยังคงเป็นทูตให้กับวงการกีฬารับใช้สร้างประโยชน์ให้สังคมต่อไป

เริ่มต้นชีวิต



ชื่อจริงของ เปเล่ ถูกตั้งตามนักประดิษฐ์ของโลก โธมัส เอดิสัน แต่ไม่มีใครคิดจะตั้งชื่อเล่นให้ จนกระทั้งเข้าโรงเรียน เมื่อก่อน เปเล่ ไม่ค่อยจะชอบชื่อเล่นของตัวเองนัก แต่เหมือนว่ายิ่งตัวเองบ่นไม่ชอบมากแค่ใหน เพื่อนๆก็ยิ่งเรียกบ่อยมากเท่านั้น จากนั้นก็เคยชิน และขาดชื่อนี้ไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันนึง “เปเล่” จะเป็นชื่อที่คนทั่วโลกรู้จัก พร้อมขนานนามว่านี่คือ “God” ของวงการฟุตบอล เหมือนเป็นชื่อที่พระเจ้าประทานมาให้คู่กันจริงๆ

ก้าวสู่อาชีพค้าแข้ง

1956-1974 : ซานโต๊ส



เปเล่ เติบโตขึ้นมากับการเล่นฟุตบอลตามท้องถนนดินลูกรังในบ้านเกิด ไม่มีแม้กระทั่งถุงเท้าดังนั้นเรื่องรองเท้า ไม่ต้องฝันถึงกระทั่งลูกบอลที่จะใช้เตะยังมาจากกระดาดเอามาปั้นเป็นก้อนกลม หรือไม่ก็ลูกเกรฟฟรุ๊ต ลูกหนังลูกแรกที่เปเล่ ได้สัมผัสคือของขวัญวันเกิดครบ 6 ขวบจากเพื่อนร่วมทีมของคุณพ่อที่เป็นนักฟุตบอลชื่อ โซซ่า

พอวัยได้ 11 ปีเปเล่ ถูกนักเตะระดับตำนานของบราซิล อย่าง วัลเดมาร์ เดอ บริโต้ สังเกตุเห็นแววและชวนกันไปอยู่ทีมสมัครเล่นของ บริเตอร์ ต่อมาปี 1956 ผู้ดูแลได้พาไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ ซานโตส ซึ่ง เดอ บริเตอร์ การันตี ไว้ตั้งแต่อายุ 15 แล้วว่า เปเล่ จะก้าวขึ้นเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในอนาคตแน่นอน

เปเล่ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด เมื่อลงเล่นเกมลีกเกมแรกที่พบกับ โครินเธียนส์ เขาก็ยิงไปถึง 4 ประตู และต่อมาในฤดูกาล 1957  เปเล่ ก็ได้เป็นนักเตะตัวจริงของทีมชนิดถาวรด้วยวัยเพียง 16 ปี ก่อนที่จะกลายมาเป็นดาวยิงสูงสุดของลีกด้วยเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล และ หลังผ่านการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพได้ไม่เท่าไร เปเล่ นักเตะวัยรุ่นยามนั้น ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ บราซิล ทันที

หลังจากเสร็จศึกฟุตบอลโลก 1962 มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปสนใจที่จะคว้าตัวเปเล่ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ทางการบราซิล ก็ออกมาขัดขวางด้วยการประกาศว่า เปเล่ เป็นสมบัติของชาติ

ต่อมาในปี 1969 เปเล่ สามารถยิงประตูที่ 1,000 ให้กับตัวเองได้สำเร็จ ในเกมที่พบกับ วาสโกดากาม่า ณ สนาม มารากาน่า สเตเดียม ซึ่งประตูนั้นได้มาจากการยิงจุดโทษ และหลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ในบ้านเกิด ในที่สุด เปเล่ ก็ได้ตัดสินใจเดินทางไปหาประสบการณ์ค้าแข้งในบั้นปลายชีวิตยังต่างแดนครั้งแรก ในปี 1975


1975-1977 : นิวยอร์ก คอสโมส

ในปี 1975 เปเล่ ยุติชีวิตค้าแข้งเป็นเวลากว่า 20 ปี กับทีม ซานโต๊ส และตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมทีม นิวยอร์ค คอสโมส ในลีกทวีปอเมริกาเหนือ (เอ็นเอเอสแอล) โดยแม้ว่า เปเล่ จะผ่านช่วงสุดยอดของเขามาแล้ว แต่ยอดนักเตะชาวบราซิเลี่ยนผู้นี้ ก็ยังคงเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนในสหรัฐฯ ไม่น้อย นอกจากนี้ เขายังสามารถพาทีมต้นสังกัด คว้าแชมป์ลีกได้ในปี 1977 ในฤดูกาลค้าแข้งปีที่ 3 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายในชีวิตนักเตะอาชีพของเขา อีกด้วย


ทีมชาติบราซิล



เปเล่ ลงเล่นเกมทีมชาติบราซิลนัดแรก ในวันที่ 7 กรกฏาคม 1957 ซึ่งเป็นเกมที่พบกับ อาร์เจนติน่า และเขาก็ทำประตูได้ด้วย ต่อมา ในปี 1958 เปเล่ กลายเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดในโลกที่คว้าแชมป์โลก ด้วยวัยเพียง 17 ปีหลังเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เอาชนะ สวีเดน เจ้าตัวยิง 2 ประตูในนัดชิง ให้ แซมบ้า ชนะสวีเดน 5-2 ที่กรุงสต๊อคโฮล์ม จากนั้นก็เล่นเกมฟุตบอลโลกกับ บราซิล อีก 3 สมัยในปี 1962,1966 และ 1970 ซึ่งพาบราซิลคว้าแชมป์โลกอีก 2 ครั้งคือปี 1962 และ 1970

ในทัวร์นาเมนต์ปี 1962 และ 1966 เปเล่เจ็บปวดใจมากที่ไม่สามารถช่วยทีมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนหลังโดนนักเตะ เม็กซิโก เข้าบอลโหดใส่และทัวร์นาเมนต์ 1970 ที่เม็กซิโก คือทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของเปเล่ อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่ปี 1970 บราซิล นับว่ามีทีมที่ดีที่สุดในช่วงนั้นพอดีประกอบไปด้วยนักเตะดังๆระดับดาวอย่าง ริเวลิโน่,แจร์ซินโญ่ และ โตส์เตา ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดของบราซิล และพาแซมบ้าชนะ อิตาลี สำเร็จ 4-1 ในปีนั้น โดยเปเล่ ยิง 1 จ่าย 1 ให้กับ แจร์ซินโญ่ เป็นการคว้าแชมป์โลกที่น่าประทับใจที่สุดของบราซิล และในปี 1972 เปเล่ ตัดสินใจหันหลังให้กับทีมชาติบราซิล เป็นการถาวร

ชีวิตหลังแขวนสตั๊ด



หลังหันหลังให้กับชีวิตค้าแข้ง เปเล่ ก็ได้ไปทำหน้าที่งานฑูตให้กับหลายองค์กร โดยในปี 1992 เขาได้รับการแต่งตั้งจาก สหประชาชาติ ให้เป็นฑูตเกี่ยวกับระบบนิเวศ และ สิ่งแวดล้อม และต่อมาในปี 1995 เขาก็ได้รับเหรียญเกียรติยศเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์ในวงการกีฬาให้กับประเทศบราซิล รวมถึง เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่รัฐมนตรีพิเศษให้กับกระทรวงกีฬาบราซิล นอกจากนี้ องค์การยูเนสโก้ ก็ยังได้แต่งตั้งให้ เปเล่ เป็นฑูตพิเศษของ ยูเอ็น อีกด้วย

ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ร่างกฎหมายข้อบังคับเพื่อลดการคอร์รัปชั่นในวงการฟุตบอลบราซิล ซึ่งกลายมาเป็นที่รู้จักดีในชื่อว่า "กฏหมายของเปเล่" เขาก็ได้ตัดสินใจยุติบทบาทดีกล่าว ในปี 2001 หลังจากเขาถูกกล่าวหาว่ามีส่วนกับการคอร์รับชั่น อย่างไรก็ดี ในปี 1997 เปเล่ ได้รับรางวัลเกียรติยศ British knighthood จากสหราชอาณาจักร

ในปี 2002 เปเล่ เคยมารับจ๊อบเป็นแมวมองให้กับ ฟูแล่ม ทีมในพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ และในปี 2006 เขาก็ได้รับเลือกให้ไปเป็นผู้จับสลากแบ่งกลุ่มในรายการ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมัน เป็นเจ้าภาพ อีกด้วย นอกจากนี้ ชีวิตของ เปเล่ ยังได้ถูกนำไปเผยแพร่ยังสื่อต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์อย่าง หนังสือพิมพ์, แม็กกาซีน, นิตยสาร รวมถึง ในรายการโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ ต่างๆ อีกด้วย  

เกียรติประวัติที่เคยได้รับ

ระดับสโมสร

ซานโต๊ส 
Campeonato Paulista: 1958, 1960, 1961, 1962, 1964, 1965, 1967, 1968, 1969 and 1973
Torneio Rio-São Paulo: 1959, 1963 and 1964
Torneio Roberto Gomes Pedrosa (Taça de Prata): 1968 
Taça Brasil: 1961, 1962, 1963, 1964 and 1965 
Copa Libertadores: 1962 and 1963 
Intercontinental Cup: 1962 and 1963 
South-American Recopa: 1968

นิวยอร์ค คอสโมส 
NASL Champions: 1977

ทีมชาติบราซิล 
FIFA World Cup: 1958, 1962, 1970 
Roca Cup: 1957, 1963

ระดับส่วนตัว

- Footballer of the Century : 2000
- Laureus World Sports Awards : 2000
- BBC Sports Personality of the Year Lifetime Achievement Award : 2005



"ตำนานไข่มุกดำ"



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=8QEmnP48PEc


Diego Maradona ดีเอโก้ มาราโดน่า "ตำนานหัตถ์พระเจ้า"

Diego Maradona

ดีเอโก้ มาราโดน่า "ตำนานหัตถ์พระเจ้า"

แม้จะถูกมองว่าเป็นต้นแบบของความเป็นนักเตะเจ้าปัญหา แต่ ดีเอโก้ มาราโดนา ก็ได้รับการยอมรับอย่างเต็มใจจากแฟนบอลและคนในวงการว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดการ

มาราโดนา เกิดที่ วิลล่า ฟิออริโต้ อาจจะเป็นเพราะตัวเองเป็นลูกชายคนแรกของตระกูล อาการสปอย เอาแต่ใจนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้ว่าจะมีน้องชายเล็กๆตามมาอีกสองคนก็ตามที

พรสวรรค์ของ มาราโดนา เข้าตาแมวมองตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่พ้นวัยเด็กๆที่ 10 ขวบขณะเล่นให้กับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง เอสเตรลล่า โรย่า จากนั้นเหมือนชีวิตพลิกผัน ได้มาเล่นให้ทีมระดับจูเนียร์ ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ สโมสรดังของกรุงบัวโนส ไอเรส

กับเกมดิวิชั่น 1 อาร์เจนตินา แรกๆมาราโดนา เป็นเพียงเด็กเก็บบอลวิ่งอยู่ข้างสนาม พร้อมทั้งเอนเตอร์เทน เดาะบอลโชว์แฟนๆในช่วงพักครึ่งเกมการแข่งขัน

พออายุ 15 มาราโดนา ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์เป็นครั้งแรก และค้าแข้งด้วยระหว่างปี 1976 ถึง 1981 ก่อนจะย้ายมาสู่สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง โบคาจูเนียร์ ที่กลายเป็นแบรนด์ของเจ้าต้วจนถึงทุกวันนี้ตั้งแต่ปลายฤดูกาล 1981 คว้าแชมป์กับทีมสำเร็จตั้งแต่ปีแรก

มาราโดนา ได้ติดทีมชาติ ฟ้าขาวตั้งแต่อายุ 16 นัดเจอกับ ฮังการี และได้เข้าสัมผัสบรรยากาศฟุตบอลโลกรุ่นเยาวชน เมื่ออายุ 18 ปี ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ที่สร้างชื่อให้ตัวเองดังกระฉ่อนวงการในทัวร์นาเมนต์นี้ โดยเฉพาะเกมนัดชิงที่ชนะ สหภาพโซเวียต 3-1

ปี 1982 มาราโดนา ได้ลงเตะทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก ระดับซีเนียร์ ครั้งแรกโดยรอบแรก อาร์เจนตินา ชนะ ฮังการี และ เอล ซัลวาดอร์ ได้อย่างสบายเท้า ก่อนจะไปช็อคตกรอบในรอบ 2 หลังไม่สามารถผ่านด่านอรหันต์ บราซิล และ อิตาลี ไปได้

หลังจบทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก มาราโดนา ย้ายสังกัดซบ “เจ้าบุญทุ่มแห่งสเปน” บาร์เซโลนา ในปี 1983 ภายใต้การทำทีมของโค้ช เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ ที่พา บาร์ซ่า ซึ่งมีมาราโดนา เป็นกุญแจสำคัญขึ้นคว้าแชมป์ โคปา เดลเรย์ หลังเอาชนะคู่แค้นตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด

แม้เส้นทางเหมือนว่าดูแล้วน่าจะสวยงามสำหรับนักเตะอย่าง มาราโดนา ในถิ่นคัมป์ นู แต่เจ้าตัวกลับไม่ค่อยแฮปปี้ เท่าไรนักทั้งเรื่องอาการป่วย รวมถึงสไตล์การเล่นของบอลสเปนที่ค่อนข้างหนัก แม้โดนนักเตะคู่แข่งแท็กจนเจ็บยาว เกือบต้องแขวนสตั๊ดไปเหมือนกัน

หลังจากปัญหาต่างๆประดังเข้ามาเป็นว่าเล่นทางฝ่ายจัดการของ บาร์เซโลนา ก็ชักจะไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรเช่นกัน เลยตัดสินใจปล่อยตัวนักเตะเจ้าปัญหารายนี้สู่ นาโปลิ ทีมในอิตาลี ที่มาราโดนา ไปเป็นผู้นำความสำเร็จสู่ทีมโดยแท้ คว้าแชมป์ลีก สองสมัย ,โคปา อิตาเลีย,ยูฟ่า คัพ และ อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ นอกจากนี้ยังเป็นรองแชมป์ลีกอีก 2 สมัยด้วย

กับทีมชาติ มาราโดนา พาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกสำเร็จในปี 1986 จากการชนะเยอรมันตะวันตก 3-2 หลังจากตัวเองโชว์ฟอร์มโดดเด่นมาตลอดทัวร์นาเมนต์ ก็ได้รับการยกย่องจากทุกสารทิศว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์

และก็เป็นทัวร์นาเมนต์นี้ ที่มาราโดนา สร้างตำนาน “หัตถ์พระเจ้า” เอาไว้ด้วยในเกมกับอังกฤษรอบควอเตอร์ไฟนัล ที่ชูมือปัดลูกเข้าประตูเห็นๆ แต่ผู้ตัดสินให้เป็นประตูซะอย่างงั้น นับเป็นประตูที่โด่งดังมาก น้อยคนนักที่จะลืมเลือนประตูนี้ โดยเฉพาะแฟนๆทีม “สิ งโตคำราม” ที่โดนเขี่ยตกรอบไป

ปัจจุบัน มาราโดน่า ได้มีโอกาสผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งประเดิมทีมแรกที่เขาคุมเลยก็คือ ทีมแมนดิยู ออฟ โครินเธียน และก็ทีม เรซซิ่ง คลับ แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก อย่างไรก็ดี มาราโดน่า ก็ยังได้รับความไว้วางใจอยู่ ล่าสุด เขาได้มีโอกาสคุมทีมชาติ อาร์เจนติน่า แต่ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก



เสือเตี้ย ดิเอโก้ มาราโดน่า




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=TlVfzOb_w9s&feature=fvst





Michel Platini “พ่อมดลูกหนัง” มิเชล พลาตินี


Michel Platini



“พ่อมดลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่



มิเชล พลาตินี่ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสผู้ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นบุคคลระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้ว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะมิดฟิลด์ที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในโลกของยุคเดียวกัน

พลาตินี่ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ นองซี่-ลอร์เรน ก่อนจะย้ายสู่ทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง แซงต์ เอเตียง ที่ซึ่งมาประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ ลีก สูงสุดเมื่อปี 1981

ปี 1982 ก้าวใหม่ของชีวิตที่ท้าทายกว่าเดิมเริ่มมาถึงเมื่อได้ย้ายไปหาประสบการณ์กับสโมสรในอิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรชั้นนำอย่าง ยูเวนตุส แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อจากการลงเล่น 147 เกม พลาตินี่ กระทุ้งประตูไป 68 ตุง ซึ่งจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ถือว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา

ไม่เท่านั้น พ่อมดแห่งวงการลูกหนังรายนี้ยังนำโด่งเป็นดาวซัลโวของ เซเรีย อา ถึง 3 สมัยซ้อน พลาตินี่ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งให้ม้าลายแห่งตูริน สคูเด็ตโต้,แชมป์ อิตาเลียน คัพ,ยูโรเปี้ยน คัพ และ คัพ วินเนอร์สคัพ

พลาตินี่ ได้รับมอบหมายเป็นกัปตันทีมชาติ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ลุยศึก ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนคัพ เมื่อปี 1984 และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยตำแหน่งดาวซัลโวด้วยที่ 9 ประตู

นอกจากจี๊ดจ๊าดในตำแหน่งมิดฟิลด์แล้วการผ่านบอล ป้อนบอลของ พลาตินี่ ยังได้รับการยอมรับว่าเยี่ยมยอดอีกด้วย รวมถึงการยิงประตูที่หาได้ไม่มากนักจากนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ แล้วเป็นดาวยิงแบบนี้

เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานนักเตะอังกฤษ ได้กล่าวถึง พลาตินี่ ไว้ว่า “เขาจบสกอร์ได้คมมากๆแม้จะมีช่องอยู่นิดเดียวเท่ารูเข็มก็ตาม”

ในด้านการปั่นฟรีคิก ถ้าให้เทียบกับสมัยนี้ เดวิด เบ็คแฮม ยังอายเลยทีเดียว พลาตินี่ สามารถปั่นบอลให้โค้งหนีกำแพงและหนีมือผู้รักษาประตูได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งการซ้อมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษใช้หุ่นตั้งเป็นแถวเหมือนกับที่คนอื่นทำกัน

พลาตินี่เคยได้รับเลือกเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) ถึง 3 สมัยติดต่อกันด้วยในปี 1983,84 และ 85

พลาตินี่ แขวนสตั๊ดเมื่อปี  1987 โดยเล่นให้ยูเวนตุส เป็นทีมสุดท้าย

ปัจจุบัน พลาตินี่ ดำรงตำแหน่ง ประธานยูฟ่า โดยมาแทนที่ เซป แบล็ดเตอร์ ประธานคนก่อน เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2007 หลังจากเคยเข้าชิงเมื่อปี 2006 มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้รับเลือก






ที่มา:http://www.sport-idol.com/99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A5-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%88/

พ่อมดลูกหนัง




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=QgzwRMtVpgo



Lothar Matthaus "เขาคือนักเตะที่เป็นแม่แบบ"


Lothar Matthaus 



"เขาคือนักเตะที่เป็นแม่แบบ"



ทีมชาติ : เยอรมันนี
วันเกิด : 21 มีนาคม ค.ศ. 1961
สูง : 174 เซนติเมตร
หนัก : 71 กิโลกรัม
ตำแหน่ง : กองกลาง/กองหลัง
สโมสร : โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค (1979 - 84)
            บาเยิร์น มิวนิค (1984 - 88)
            อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี/1988 - 92)
            บาเยิร์น มิวนิค (1992 - มีนาคม 2000)
            นิวยอร์ค - นิว เจอร์ซี่ เมโทรสตาร์ (อเมริกา/พฤษภาคม - กันยายน 2000)
ติดทีมชาติ : 150 นัด (1980-2000 - สถิติยุโรป)
ยิงประตูในทีมชาติ : 23 ลูก
เล่นทีมชาตินัดแรก : 14/06/1980, เยอรมันนี - ฮอลแลนด์ (3-2)
เล่นทีมชาตินัดล่าสุด : 20/06/2000, เยอรมันนี - โปรตุเกส (0-3)
ยิงประตูในทีมชาตินัดแรก : 30/04/1985, เยอรมันนี - สาธารณรัฐเชคโกสโลวาเกีย (5-1)
ยิงประตูในทีมชาตินัดล่าสุด : 28/07/1999, เยอรมันนี - นิวซีแลนด์ (2-0)
เกียรติประวัติกับทีมชาติ
- แชมป์ฟุตบอลโลก 1990, รอบสุดท้าย (1982, 1986), รอบ 4 ทีมสุดท้าย (1994, 1998), 25 นัด (สถิติ), 6 ประตู
- แชมป์ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยน ชิพ 1980, รอบสองทีมสุดท้าย 1988, รอบแรก 1984, 2000, 11 นัด, 1 ประตู
เกียรติประวัติกับสโมสร
ชนะเลิศ
- แชมเปี้ยน ลีค รอบสุดท้าย 1987, 1999
- ยูฟ่า คัพ 1991, 1996, รอบสุดท้าย 1980
- เยอรมัน แชมเปี้ยน ชิพ 1985, 1986, 1987, 1994, 1997, 1999
- เยอรมัน คัพ 1986, 1998
- เยอรมัน ลีค คัพ 1997, 1998, 1999
- เยอรมัน ซุปเปอร์ คัพ 1987
- อิตาเลียน แชมเปี้ยน ชิพ  1989
- อิตาเลียน ซุปเปอร์ คัพ 1989
เกียรติประวัติส่วนตัว
- รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป 1990
- รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมัน 1990, 1999
- รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า 1990, 1991
อาชีพโค้ชสโมสร
- สโมสร ราปิด เวียนนา (ออสเตรีย/กันยายน 2001 - พฤษภาคม 2002)
- สโมสร ปาร์ติซาน เบลเกรด (เซอร์เบีย และ มอนเตรเนโกร/ธันวาคม 2002 - ธันวาคม 2003)- สโมสร อัตเลติโก พาราเนนเซ่ (บราซิล/กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2006)
- สโมสร ซัลซ์บวร์ก - ผู้ช่วยโค้ช (ออสเตรีย/มิถุนายน 2006 - มิถุนายน 2007)
     • สถิติกับปาร์ติซาน เบลเกรด
         - เซอร์เบีย และ มอนเตรเนโกร แชมเปี้ยน ชิพ (2003)
อาชีพโค้ชทีมชาติ
- ฮังการี (มากราคม 2004 - ธันวาคม 2006)
- มัคคาบี้ เนตันย่า (อิสราเอล/มิถุนายน 2008 - เมษายน 2009)
     • สถิติกับฮังการี: 16 นัด, ชนะ 7 นัด, เสมอ 2 นัด, แพ้ 7 นัด, 21 ประตู, ป้องกันได้ 25 ประตู
ประวัติ
ไม่มีใครที่จะลืม กองกลางทีมชาติเยอรมันคนนี้ เขาคือ โลธ่าร์ มัทเธอุส นักเตะที่ถูกบันทึกไว้ว่า ลุยศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย มาแล้วถึง 5 ครั้ง เขาต้องอกหักในรอบชิงของปี 1982 และ1986 ทว่าในปี 1990 เขาคือกัปตันที่ได้ถูถ้วยแชมป์โลก
เขาคือนักเตะที่เป็นแม่แบบ เป็นนักฟุตบอลที่ไม่รู้จักย่อท้อ เขาลงสนามในนามทีมชาติไปถึง 150 นัด ค้าแข้งให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ถึง 12 ปี กับ อินเตอร์ มิลาน อีก 4 ปี แถมยังคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1990 คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ในปี 1990 และ 1991
กับการเล่นให้ บาเยิร์น มิวนิค ถึง 2 ครั้ง เขากวาดแชมป์ลีก ไปได้ถึง 6 สมัย ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังกับการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ถึง 2 ครั้ง โดยเฉพาะในป 1999 กับแมตช์ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อเขาพา บาเยิร์น มิวนิค พ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแบบช็อกโลก 1-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
มัทเธอุส ยังคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ กับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1996 ซึ่งก่อนหน้านั้น เขาก็พา อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์ในรายการนี้ ในปี 1991 มาแล้ว และเขายังช่วยให้ อินเตอร์ เป็นแชมป์ลีกอิตาลี ในปี 1989 ด้วย
ในศึกฟุตบอลโลก ปี 1990 มัทเธอุส ได้สร้างความแตกต่างให้กับทีมชาติเยอรมัน เมื่อเขานำเอาเทคนิค และวิธีการเล่นจากลีกอิตาลี มาประยุกต์ใช้กับทีมชาติ

กับการค้าแข้งถึง 2 ซีซั่น กับ อินเตอร์ มิลาน มัทเธอุส ได้พัฒนาฝีเท้าไปแบบรุดหน้า เขากลายเป็นมิดฟิลด์ระดับโลกที่มีครบ ทั้งลูกยิง การวางบอล การจ่ายบอล รวมถึงการอ่านเกม ที่ยอดเยี่ยม
ฟร้านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ กุนซือทีมชาติเยอรมัน ในเวลานั้น มองเห็นว่าเขาจะต้องพาทีมประสบความสไเร็จอย่างแน่อน และเขาก็ถูกเลือกให้เป็นกัปตันทีม ในศึกบอลโลก ที่อิตาลี
ทว่าแต่ละเกมที่ลงเล่น มัทเธอุส กลับไม่ได้รับการไว้วางใจ หรือยอมรับนับถือจากเพื่อนร่วมทีมเท่าที่ควร ในตำแหน่งกัปตันทีม
ในรอบชิงชนะเลิศ มัทเธอุส เขาไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ กับการเล่นกับ อาร์เจนตินา ทว่าเยอรมัน ก็สามารถเบียดเอาชนะได้ แต่ไม่มีใครที่จะภูมิใจ หรือดีใจ ที่เขากลายเป็นผู้ชูถ่วยพร้อมกับ เบ็คเคนบาวเออร์ ทว่า ถ้ายกแชมป์ก็มาอยู่ในมือเขา และเขาก็ทำภารกิจสำเร็จลุล่วง

มัทเธอุส กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง ในปี 1998 การจากเรียกตัวของ แบร์ตี้ โฟกท์ส กุนซือของทีมในขณะนั้น แต่ทว่าเยอรมัน ก็ตกตกรอบ จอดป้ายที่รอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อพ่าย โครเอเชีย 0-3
มัทเธอุส ติดทีมชาติเยอรมัน นัดสุดท้าย ในศึกยูโร 2000 โยทีมชาติเยอรมัน ไม่สามารผ่านรอบแรกไปได้ เขาหยุดสถิติกับทีมชาติไว้ที่ 150 นัด หลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในสหรัฐอเมริกา กับทีม นิวยอร์ค - นิว เจอร์ซี่ เมโทรสตาร์
มัทเธอุส เริ่มต้นการเป็นกุนซือ ในเดือนกันยายน ปี 2001 กับทีม ราปิด เวียนนา ในออสเตรเลีย ทว่าเขากลับทีมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะโยกไปคุม ปาร์ติซาน เบลเกรด ในประเทศเซอร์เบีย และเขาก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรก ในปี 2003
เขาลาออกจาก ปาร์ติซาน เบลเกรด ในเดือนธันวาคม ปี 2003 เพื่อไปรับตำแหน่งโต้ชทีมชาติฮังการี ทว่าหลังจากไม่สามารถพาทีมผ่านเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2006 ได้ เขาก็ได้ย้ายไปคุมทีม แอตเลติโก พาราเนเซ่น ก่อนที่จะย้อนกลับมายัง ยุโรป อีกครั้ง ด้วยการเป็นผู้ช่วยโค้ชของทีม ซัลซ์บวร์ก และหลังจากนั้นเขาก็ไปคุมทัพ มัคคาบี้ เนตันย่า ในลีกอิสราเอล ในปี 2008-2009

ที่มา:
http://sport.sanook.com/football2010/players/%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%AA/ 


นักเตะหัวสมองกล




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=v8RNjpMYysE




Macro Van Basten มาร์โก แวน บาสเท่น ” เพชรฆาตพรายกระซิบ”


 Macro Van Basten
มาร์โก แวน บาสเท่น ” เพชรฆาตพรายกระซิบ”




มาร์โก แวน บาสเท่น ” เพชรฆาตพรายกระซิบ”


มาร์โก แวน บาสเท่น Macro Van Basten- ดาวยิงเจ้าของรางวัล บัลลงดอร์ปี 1988,1989,1992

ถ้าจะเอ่ย ถึงตำแหน่งกองหน้าที่เก่งๆในฟุตบอลโลกซักคน คงจะต้องมีชื่อเขา คนนี้แน่นอน มาร์โก แวน บาสเท่น ยอดศูนย์หน้าชื่อก้องโลกของทีมชาติฮอลแลนด์ แวน บาสเท่น เกิดเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ปี 1964 ที่เมืองอูเทร็คท์ และ ได้เริ่มเข้าร่วมทีมอาแจ็กซ์ จากทีมสมัครเล่นอีลิงค์วิก ในปี 1981 ด้วยพรสวรรค์และความเก่งเกินวัยทำให้เขาพุ่งขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ ของอาแจ๊กซ์เมื่ออายุเพียง 17 ปี โดยเป็นตัวสำรองแทน “นักเตะเทวดา” อย่าง โยฮัน ครัฟฟ์

แวน บาสเท่น ถูกจับตามองอย่างมากเมื่อเขาติดทีมฮอลแลนด์ ชุดเยาวชนโลกที่เม็กซิโก เมื่อปี 1983 ซึ่งตัวเขาเองสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม

ผลงานในสโมสรอาแจ๊กซ์ ของแวน บาสเท่น ไม่ธรรดาเลย เมื่อยิงประตู ได้ทั้งสิ้น 128 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่เฉลี่ยแล้วเกือบยิงทุกนัดที่ลงสนาม ความเป็นดาวซัลโวที่ฉายแสงอย่างสุดยอดของเขาในทีมอาแจ๊กซ์ ทำให้สโมสรขาย วิฟ เคี้ยฟ ดาราเท้าทองแห่งยุโรปในปี 1982 ออกจากทีมไปในปี 1983

แวน บาสเท่น ยังสำแดงเดช ยิงประตูให้อาแจ๊กซ์เป็นว่าเล่น จนสามารถนำทีมคว้าแชมป์คัพวินเนอร์คัพ มาครองได้ในปี 1987 และในปีนั้นแวน บาสเท่น กดไปถึง 31 ประตู ด้วยผลงนอันยอดเยี่ยมนี่เอง ทำให้ ทีมปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน มาซื้อตัวเขาในราคา 1.5 ล้านปอนด์ ( ประมาณ 80 ล้านบาท) โดยต้องแย่งกับสโมสรชั้นนำของยุโรป อย่าง บาร์เซโรน่า,โรม่า,แวร์เดอ เบรเมน ซึ่งทำให้เอซี มิลาน แข็งแกร่ง และก้าวขึ้นไปเป็นยอดทีมในยุคนั้นทันที

สำหรับผลงานในระดับชาติ แวน บาสเท่น สร้างชื่อของเขาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในปี 1988 ที่ประเทศเยอรมันตะวันตก ซึ่งช่วงแรกๆ เขาต้องเล่นเป็นแค่ตัวสำรอง แต่หลังจากนัดแรก แวน บาสเท่น ได้กลับมาเล่นเป็นตัวจริงและยิงได้ถึง 5 ประตู รวมถึงประตูดับเจ้าภาพเยอรมันในรอบตัดเชือกและลูกสุดสวยกับทีมชาติรัสเซีย ในนัดชิงชนะเลิศ และพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1988 ด้วย

ส่วนฟุตบอลโลกสำหรับแวน บาสเท่น ในปี 1990 ที่ประเทศอิตาลี ตอนนั้น ฮอลแลนด์ ไปในฐานะทีมแชม์ยุโรปและตัวเต็งอันดับ ต้นๆ แต่ต้องเจองานหนักตั้งแต่รอบแรกอยู่ร่วมสาย กับ อียิปต์,ไอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งฮอลแลนด์สร้างผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบสอง ไปเจอกับเยอรมันตะวันตก ซึ่งถือเป็นการล้างตาจากฟุตบอลยูโร 88 ซึ่งคราวนี้ ทีมของแวน บาสเท่น ต้องแพ้ไป 1-2 ทำให้ต้องตกรอบอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นแวน บาสเท่น พาทีมเอซี มิลาน คว้าแชมป์เป็นว่าเล่นไม่ว่า แชมป์กัลโช่ เซเรียอา,แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ,แชมป์สโมสรโลก ฯลฯ และตัวเขาเองยังคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยในปี 1988,1989 และ 1992 และนักเตะยอดเยี่ยมของโลก ในปี 1992 เช่นกัน

แต่หลังจากนั้น โชคชะตา จะเล่นตลกกับ แวน บาสเท่น เมื่อมีปัญหาอาการบาดเจ็บ เล่นงานเรื้อรังไม่ว่าจะผ่าตัดกี่ครั้ง แต่แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีก แม้ฟุตบอลโลกในปี 1994 แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถฟิตทันได้ และแวน บาสเท่น ทนอาการบาดเจ็บไม่ไหว จนต้องประกาศแขวน สตั๊ดด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น

แม้ว่า ผลงานในฟุตบอลโลกของแวน บาสเท่น จะมีแค่ในฟุตบอลโลก ปี 1990 แค่ครั้งเดียว แต่ชื่อของเขา ยังเป็นที่รู้จักในวงการลูกหนังโลกและได้รับการยกย่องว่า เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดของโลก ที่เคยมีมาอีกด้วย ปัจจุบัน แวน บาสเท่น กำลังจะกลับเข้าสู่ฟุตบอลโลกอีกครั้งที่ประเทศเยอรมันในปี 2006 แต่มาคราวนี้ เขามาในฐานะกุนซือทีมชาติฮอลแลนด์ ซึ่งพลพรรค อัศวินสีส้มได้รับการคาดหมายว่าเป็นทีมตัวเต็งอันดับต้นๆด้วยถึงกาลเวลาจะผ่านไปแค่ไหน แต่คงไม่มีใครลืมผลงานถล่มประตูอันสุดยอดของ ยอดศูนย์หน้าระดับโลกในตำนาน อย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น คนนี้ได้อย่างแน่นอน


ที่มา:
http://www.tlcthai.com/football/381/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%99-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%86/

 ” เพชรฆาตพรายกระซิบ”




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=0Da2ADkkEGs


Michael Owen "ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น หนูน้องมหัศจรรย์"

Michael Owen

"ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น หนูน้องมหัศจรรย์"

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น
วันเกิด : 14 ธันวาคม ปี 1979 
สถานที่เกิด : เชสเตอร์ เชสเชียร์ อังกฤษ
ส่วนสูง :  5 ฟุต 8 นิ้ว (1.73 เมตร)
สโมสร : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ตำแหน่ง : กองหน้า
เบอร์เสื้อ : 10

ไมเคิ่ล โอเว่น มีชื่อเต็มว่า ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 1979 ที่เมืองเชสเตอร์ เชสเชียร์ เป็นบุตรชายของ เทอร์รี่ โอเว่น อดีตนักฟุตบอลของเอฟเวอร์ตัน และในวัยเด็กโอเว่น ก็เป็นแฟนบอลของเอฟเวอร์ตัน โดยมี แกรี่ ลินิเกอร์ เป็นนักเตะในดวงใจ แต่สุดท้ายเขากลับมาสร้างชื่อในวงการลูกหนังด้วยการเป็นนักเตะขวัญใจของแฟนบอลลิเวอร์พูล ทีมคู่ปรับร่วมตัวฉกาจของเอฟเวอร์ตัน ไปในที่สุด

เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอล

โอเว่น เริ่มเส้นทางสายลูกหนังตามความประสงค์ของผู้เป็นพ่อ ที่นำตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนรายนี้ ไปฝากฝังไว้กับผู้จัดการทีมระดับเยาวชนที่ชื่อ “โมล์ด อเล็กซานดร้า” ในตอนที่เจ้าหนูโอเว่น อยู่ในวัย 10 ขวบ

แม้ว่าจะมีรูปร่างเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน แต่ โอเว่น ก็มีพรสวรรค์ที่เด็กคนอื่นๆไม่มีกัน จนทำให้เขาเป็นนักเตะดาวเด่นของทีม โดยนอกจากจะเล่นให้กับ “โมล์ด อเล็กซานด้า”แล้ว โอเว่น ยังเป็นตัวโรงเรียน ลงเล่นให้กับทีมโรงเรียนประถมของเขา ในฮาวาร์เด้น ประเทศเวลส์ และยิงประตูได้แบบระเบิดเถิดเทิง

หลังจากนั้น โอเว่น ย้ายมาเรียนระดับมัธยมที่ ฮาวาร์เด้น ไฮสคูล และก็ยังลงเล่นให้กับทีมโรงเรียนเช่นเดิม ขณะที่บรรดาสโมสรดังๆของพรีเมียร์ลีก ที่ได้ยินกิตติศัพท์ความร้ายกาจในเชิงลูกหนังของเขา ก็พยายามมาชักชวน โอเว่น ไปร่วมทีมเยาวชนของตนเอง แต่ทางโรงเรียนของเขา ไม่อนุญาตให้นักเรียนที่อายุยังน้อยมาก เซ็นสัญญากับทีมใด

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล หนึ่งในทีมดังที่ต้องการตัว โอเว่น ก็ยื่นมือเข้ามาชี้แนะให้ โอเว่น ไปฝึกฝนวิชาด้านฟุตบอลเพิ่มเติมที่โรงเรียนสอนฟุตบอลของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ที่ลีลล์แชลล์ เมืองสแตฟฟอร์ดเชียร์ ในตอนที่เขาอายุ 14ปี ขณะที่ก็ยังเรียนวิชาสามัญทั่วไปที่ ฮาวาร์เด้น ไฮสคูล

หลังจากที่ประคบประหงม กล่อมเกลา โอเว่น มาจนถึงในวัย 16 ปี ที่สามารถเซ็นสัญญาเข้าทีมเยาวชนของสโมสรได้แล้ว และจบการฝึกจากโรงเรียนลูกหนังของเอฟเอ แล้ว ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็คว้าตัว โอเว่น ไปร่วมทีมได้สำเร็จ ตัดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ อาร์เซน่อล

ชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ



1996-2004 : ลิเวอร์พูล

ภายหลังจากที่ โอเว่น มาร่วมทีมเยาวชนของลิเวอร์พูล เขาก็ช่วยพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ในปี 1996 มาครองได้ และอีก 4 เดือนต่อมาเขาก็เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีม “หงส์แดง” หลังจากที่อายุครบรอบ 17 ปี ไปได้ไม่นาน

โอเว่น ลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรก ในนัดที่พบกับ วิมเบิลดัน ในเดือนพฤษภาคมปี 1997 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาจากม้านั่งสำรอง และก็ลงมาทำประตูได้ตั้งแต่นัดนั้น

จากการที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ดาวยิงอันดับหนึ่งของลิเวอร์พูล ในตอนนั้น ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ โอเว่น ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงให้กับลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 1997/1998 และเขาก็ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนทำให้บรรดา “เดอะ ค็อป” ลืม ฟาวเลอร์ ไปเลย โดยในฤดูกาลนั้น โอเว่น ทำได้ 18 ประตู เป็นดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีก ร่วมกับ คริส ซัตตัน และ ดิออน ดับลิน และได้รับตำแหน่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของอังกฤษ

ในปี 2001 โอเว่น ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เมื่อช่วยพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ คือ ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ โดยใน เอฟเอ คัพ โอเว่น ช่วยยิง 2 ประตูทำให้ “หงส์แดง” พลิกแซงกลับมาเอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ และในตอนสิ้นปีเขายังได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ มาครอง โดยเป็นนักเตะในสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 20 ปี ที่คว้ารางวัลนี้มาครองได้

หลังจากอยู่รับใช้ ลิเวอร์พูล มานาน โอเว่น ก็อยากไปแสวงหาความท้าทายใหม่ๆให้กับอาชีพค้าแข้ง เนื่องจากที่ ลิเวอร์พูล เขายังไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยเหตุนี้ ลิเวอร์พูล จึงขายเขาไปให้กับ รีล มาดริด ทีมมหาอำนาจของสเปน ในวันที่ 13 สิงหาคม ปี 2004 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ และ รีล มาดริด ต้องแถม อันโตนิโอ นูนเยซ มาให้ ลิเวอร์พูล อีกด้วย



2004-2005 : เรอัล มาดริด

ดูเหมือนว่าชีวิตค้าแข้งในทีมรวมดาราโลกอย่าง รีล มาดริด ไม่สวยงามเท่าใดนัก เมื่อเขาต้องนั่งเป็นตัวสำรองของ โรนัลโด้ และ ราอูล กอนซาเลซ โดยได้ลงสนามไป 36 นัด ในทุกรายการ ทำได้ 13 ประตู โดยส่วนใหญ่เขาจะถูกส่งลงมาในฐานะตัวสำรอง แต่ก็อุตส่าห์ทำประตูได้เสมอๆ ทั้งที่มีเวลาในสนามไม่มาก

แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้ อนาคตของโอเว่น ในซานติอาโก้ เบอร์นาบิว สดใสขึ้น หลังจากที่สโมสรไปคว้า โรบินโญ่ และ อันโตนิโอ คาสซาโน่ เข้ามาอีก ทำให้ โอเว่น ต้องย้ายกลับมาเล่นในอังกฤษ อีกครั้ง โดยมี นิวคาสเซิ่ล ยื่นเงินสูงเป็นสถิติสูงสุดของสโมสร 17 ล้านปอนด์ คว้า โอเว่น ไปร่วมทีม



2005-2008 : นิวคาสเซิ่ล

ความหวังที่จะกลับมาแจ้งเกิดให้ได้อีกครั้งของโอเว่นต้องมีอันเจออุปสรรคก้อนโต เมื่อเขาโดนอาการบาดเจ็บรบกวนอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่กำลังทำผลงานได้ดี ยิงประตูให้กับนิวคาสเซิ่ล ได้เรื่อยๆ แทบทุกนัดที่ลงสนาม แต่ทุกๆ คนก็ยังมั่นใจในตัวเขาอยู่ และในที่สุด เขาก็หายเจ็บกลับมาโชว์ฟอร์มยิงประตูให้ทีมได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม โอเว่น ก็ต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอีกจนได้ โดยครั้งนี้ เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดเลยทีเดียว

แม้จะเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 ของตนเอง แต่อาการบาดเจ็บยังคงรุมเร้าชีวิตค้าแข้งในถิ่น เซนต์ เจมส์ พาร์ค ของ โอเว่น อยู่ต่อไป จนส่งผลให้เขาไม่สามารถระเบิดฟอร์มยิงประตูให้ทีมได้มากนัก อย่างไรก็ตาม ในที่สุด โอเว่น ก็สามารถจัดการยิงประตูให้ทีม "สาลิกา" ได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของซีซั่น จนมีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมรอดพ้นจากโซนหนีตกชั้นได้สำเร็จ ส่งให้จบปีนี้ โอเว่น ทำประตูได้ ทั้งหมด 11 ลูก และเป็นนักเตะที่ยิงประตูมากสุดเป็นอันดับ ที่ 13 ของศึกพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ

เข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 เกิดเรื่องแย่ๆกับเขามากมาย เขาลงเล่นให้กับทีมได้ 31 นัด ยิงได้ 10 ลูกเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะระบบทีมที่ไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำผลงานได้ดี สภาพทีมที่แย่มากส่งผลให้ต้นสังกัดของโอเว่นตกชั้น !!! โอเว่นคิดหาทีมใหม่อยู่ทันทีที่ปิดฤดูกาล แต่ไม่ยักจะมีใครมีต้องการตัวเขาจริงๆจังๆ เอเย่นต์ส่วนตัวถึงกับต้องแจกใบปลิวบรรยายสรรพคุณพิษสงของโอเว่น 23 รูปแบบให้กับทีมต่างๆ และในที่สุดก็......



2009- ปัจจุบัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

และแล้ว การย้ายกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ของโอเว่น ก็ประสบความสำเร็จ และทีมที่ซื้อตัวเขาไปก็คือทีมคู่อริทีมแจ้งเกิดของเขาอย่าง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" นั่นเอง

ทีมชาติอังกฤษ

สำหรับเส้นทางในทีมชาติอังกฤษ นั้น โอเว่น โด่งดังมาตั้งแต่ในการลงเล่นในทีมชุดเยาวชนของ “สิงโตคำราม” ก่อนที่จะลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในนัดที่แพ้ ชิลี ในเกมอุ่นเครื่อง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1998

หลังจากนั้น โอเว่น มาทำประตูแรกให้กับทีมชาติอังกฤษ ได้สำเร็จ ในนัดอุ่นเครื่องกับ โมร็อกโก จนเป็นเจ้าของสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ทีม “สิงโตคำราม” ได้ ก่อนจะมาโดน เวย์น รูนี่ย์ ทำลายสถิตินี้ลงได้

โอเว่น ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ด้วย แม้ว่าจะไปฐานะตัวสำรอง แต่เขาก็สามารถสร้างความประทับใจได้ด้วยการลงไปยิงประตู โรมาเนีย ในรอบแรก นัดที่สอง ก่อนจะมาโชว์ความสามารถเฉพาะตัวอันยอดเยี่ยมลากบอลจากระยะเกือบครึ่งสนามไปยิงประตู อาร์เจนติน่า ได้ในการลงเตะ รอบสอง แม้ว่า อังกฤษ จะพ่ายแพ้ตกรอบไปในที่สุด แต่ประตูของ โอเว่น ก็ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดประตูหนึ่งในการแข่งขัน

หลังจากนั้น โอเว่น ก็ค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ ไปในที่สุด และทุกคนฝากความหวังในการทำประตูเอาไว้ที่เขา โดยที่ โอเว่น ก็ร่วมทีมอังกฤษ ลงทำศึกรายการสำคัญมาโดยตลอด ทั้ง ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000 และ 2004 และ ฟุตบอลโลก ปี 2002 แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยพาอังกฤษ คว้าแชมป์มาครองได้ซักที

ในศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน โอเว่น ไม่สามารถทำประตูในทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวได้เลย แถมยังต้องได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าฉีกอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำให้ฟอร์มการเล่นของเขาไม่เฉียบขาดเหมือนเดิม และหลังจากที่ต้องหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลานาน โอเว่น ก็กลับคืนสู่ทีมชาติอังกฤษ โดยเริ่มจาก ชุดบี ก่อนที่จะมีชื่อติดทีมชุดใหญ่ได้อีกครั้ง

ในวันที่ 11 ธันวาคม ปี 2007 โอเว่น ติดทีม "สิงโตคำราม" ครบ 88 นัด และทำได้ 40 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่ทำให้เขาก็นักเตะที่ยิงประตูให้ทีมชาติอังกฤษมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ตามหลัง เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน (49 ประตู), แกรี่ ลินิเกอร์ (48 ประตู) และ จิมมี่ เกรฟส์ (44 ประตู) อย่างไรก็ตาม ด้วยฟอร์มที่ดร็อปลงไป ก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า โอเว่น ยังเหมาะที่จะเป็นดาวยิงเบอร์ 1 ของทีมชาติต่อไปหรือไม่ เนื่องจาก มีผู้เล่นดาวรุ่งที่โชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นมา ไม่่ว่าจะเป็น เวย์น รูนี่ย์ และ ธีโอ วัลค็อตต์ 

ชีวิตส่วนตัว

-โอเว่น ได้หมั้นกับ หลุึยส์ บอนซัลล์ แฟนสาวชาวอังกฤษ ซึ่งคบหาดูใจกันตั้งแต่ปี 1984 ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2004 ก่อนที่จะแต่งงานกันในวันที่ 24 มิถุนายน 2005 ที่ โรงแรม คาร์เดน พาร์ค ในเชสเตอร์, เชสเชียร์ ประเทศ อังกฤษ และทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน โดยเป็นผู้หญิง 2 คน ชื่อว่า แกมม่า โรส (เกิด 1 พฤษภาคม 2003), อีมิลี่ เมย์ (เกิด 29 ตุลาคม 2007) และ ลูกชาย  1 คน ชื่อว่า เจมส์ ไมเคิ่ล (เกิด 6 กุมภาพันธ์ 2006)

- โอเว่น เป็นเจ้าของรถยนต์สุดหรูหลายคัน และ เฮลิค็อปเตอร์ 1 ลำ สำหรับงานอดิเรกที่เขามักทำในเวลาว่างนั้น ได้แก่ การแข่งม้า และการพนันขันต่อเสี่ยงโชคต่างๆ

เกียรติประวัติที่เคยได้รับ

ระดับสโมสร

ลิเวอร์พูล 
แชมป์ 
1995–96 เอฟเอ ยูธ คัพ
2000–01 ลีก คัพ 
2000–01 เอฟเอ คัพ 
2000–01 ยูฟ่า คัพ 
2001–02 ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 
2001–02 แชริตี้ ชีลด์ 
2002–03 ลีก คัพ
รองแชมป์
2001–02 พรีเมียร์ลีก 
2002–03 แชริตี้ ชีลด์

เรอัล มาดริด 
รองแชมป์ 
2004–05 ลา ลีกา

ระดับส่วนตัว
1998 นักเตะดาวรุ่ง พีเอฟเอ 
1998 ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก, 18 ลูก 
1998 รางวัลชีวิตส่วนตัวดีเด่น จากบีบีซี สปอร์ต 
1998 นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 
1999 ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก, 18 ลูก 
2001 ผู้เล่นยอดเยี่ยมระดับโลกแห่งปี 
2001 บัลลงดอร์




มหัศจรรย์จริงๆ




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=nr21lk8ujbA



George Best "จอร์จ เบสต์ ปีกพ่อมด"

George Best

"จอร์จ เบสต์  ปีกพ่อมด"

วันเกิด 22 พฤษภาคม 1946 
สถานที่เกิด เบลฟาสต์, ไอร์แลนด์ 
สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, สต๊อคพอร์ท, คร๊อค เซลติก, ลอส แองเจลิส อัสเตคส์, ฟูแล่ม, ลอส แองเจลิส อัสเตคส์, ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส, ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์, ฮิเบอร์เนียน, ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส, ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์, บอร์นมัธ, บริสเบน ไลออน 
ความสำเร็จ ติดทีมชาติไอร์แลนด์, แชมป์ดิวิชั่น1(แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ), นักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป 


นักเตะเจ้าของฉายาปีกพ่อมด และเทพบุตรมหาภัย เขาเป็นอัจฉริยะลูกหนังคนหนึ่งของวงการฟุตบอล เป็นตำนานนักเตะหมายเลข 7 ของแมนฯยูฯ เป็นผู้เล่นชั้นยอดอีกคนหนึ่งที่ยังไม่เคยสัมผัสเกมฟุตบอลโลก 

เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งด้วยการมาทดสอบฝีเท้ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1961 โดยเริ่มเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร ลงเล่นในตำแหน่งปีก ซึ่งในสมัยนั้นผู้เล่นตำแหน่งปีกจะเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากสำหรับทีม 

ในปี 1963 ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่นัดแรกในเกมพบฟูแล่ม ด้วยวัย 17 ปี ในเดือนกันยายน และหลังจากเล่นให้แมนฯ ยูฯ ได้เพียง 15 เกมก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ 

เป็นนักเตะที่พาทีมแมนฯ ยูฯ คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ในฤดูกาล 1964-1965 และ 1966-1967 (แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ) 

ในปี 1968 พาทีมแมนยูขึ้นเถลิงบรรลังค์แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพภายใต้การคุมทีมของเซอร์แมทต์ บัสบี้ ด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า โดย ในเวลาปกติเสมออยู่ 1-1 และต่อเวลาพิเศษ แมนยูยิงได้อีก 3 ลูก โดยจอร์จ เบสต์เป็นผู้ทำประตูด้วย ในนาทีที่ 93 นับเป็นค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตการเล่นฟุตบอลของเขาอย่างมาก 

ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปในปี 1968 

จอร์จ เบสต์ เคยสร้างสถิติยิงประตูในนัดเดียวมากที่สุดถึง 6 ประตู ในการถล่ม นอร์ทแธมป์ตัน ทาวน์ 8-2 ในเกมเอฟเอคัพ รอบ 5 

ในปี 1972 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 26 ปี แต่แล้วในปี 1973 ก็กลับมาค้าแข้งอีกครั้ง แต่ด้วยความเป็นเพลย์บอยของเขาทำให้ในที่สุดแมนฯ ยูฯก็ตัดสินใจขายเขาทิ้งในปี 1974 

ตั้งแต่ปี 1975-1980 เขาแต่งงานกับนางแบบสาว แองเจลล่า แมคโดนัลด์ เจมส์ และย้ายออกจากแมนฯ ยูฯ ไปค้าแข้งกับทีมเล็ก ๆ อีกหลายทีม และไปแขวนสตั๊ดอีกครั้ง ในเมเจอร์ลีกของ อเมริกา ชื่อ ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ 

แต่แล้วในปี 1983 เขาก็หวนกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง กับทีม บอร์นมัธ แต่ลงเล่นอีกไม่นาน เขาก็ย้ายไปเล่นให้ทีมเล็ก ๆ อย่าง บริสเบน ไลออน และ ตัดสินใจ แขวนสตั๊ดถาวรในปี 1984 ด้วยวัย 38 ปี 

ส่วนหนึ่งที่เบสต์ ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลหลายครั้ง เนื่องจากหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการดื่มเหล้าเคล้านารี เที่ยวกลางคืน และหลงอยู่ในแสงสีของวงการบันเทิง แต่ถึงแม้จะยุติชีวิตนักเตะ เบสต์ก็ยังอยู่ในวงการฟุตบอล โดยทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์ของสำนักข่าวให้กับสกายสปอร์ต 

ในปี 1984 ถูกศาลตัดสินจำคุก 12 สัปดาห์ในข้อหาเมาแล้วขับรวมถึงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกภรรยาแองเจลล่า ฟ้องหย่า หลังจากมีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือ คาลัม 

ในปี 1995 แต่งงานอีกครั้งกับ อเล็ก เพอร์ซี่ ซึ่งเป็นแอร์ โฮสเตส สาวสวย ซึ่งต่อมาภายหลังก็ต้องแยกทางกัน เพราะภรรรยาของเขาทนไม่ไหว กับการที่ เบสต์ กลับไปดื่มเหล้าจัด และมีคดีความมากมาย ทั้งเมาสุราอาละวาด เมาแล้วขับ และทะเลาะวิวาท 

ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ Hall of Fame หรือหอเกียรติยศของ FIFA ในปี 2004 

ด้วยความเป็นนักดื่มตัวยงที่สุดผลร้ายก็ย้อนคืนสู่สุขภาพของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2000 เบสต์ มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ จนกระทั่งต้องเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในปี 2002 และถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะของมึนเมาอีกแต่เจ้าตัวก็ยังไม่เชื่อฟังแอบดื่มเรื่อยมา 

ในช่วง 2-3 ปีหลังสุขภาพของเบสต์ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทำให้เข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งครั้งล่าสุด เบสต์ ถูกส่งเข้ารับการรักษาตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนตุลาคม48 ที่โรงพยาบาลครอมเวลล์ กรุงลอนดอน แต่ในที่สุดคณะแพทย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิต เบสต์ เอาไว้ได้เขาจากไปด้วยอาการปอดติดเชื้อ และผลกระทบจากโรคไต 

จบชีวิตปิดฉากตำนานเทพบุตรมหาภัย ด้วย วัย 59 ปี ในวันที่ 25 พฤศจิการยน 2005 

สรุปเส้นทางการค้าแข้ง 
1963-74 : อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ลงเล่น 465 เกม ยิง 180 ประตู) 
1975 : อยู่กับ สต๊อคพอร์ท (ลงเล่น 3 เกม ยิง 2 ประตู) 
1975-76 : คร๊อค เซลติก (ลงเล่น 3 ยิงไม่ได้เลย) 
1976 : ลอส แองเจลิส อัสเตคส์ (ลงเล่น 24 เกม ยิง 15 ประตู) 
1976-77 : ฟูแล่ม (ลงเล่น 47 เกม ยิง 10 ประตู) 
1977-78 : ลอส แองเจลิส อัสเตคส์ (ลงเล่น 37 เกม ยิง 14 ประตู) 
1979 : ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส (14 เกม ยิง 5 ประตู) 
1979-80 : ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ (30 เกม ยิง 13 ประตู) 
1979-80 : ฮิเบอร์เนียน (22 เกม ยิง 3 ประตู) 
1980 : ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส (19 เกม ยิง 2 ประตู) 
1981 : ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ (26 เกม ยิง 8 ประตู) 
1983 : บอร์นมัธ (5 เกม ยิง 0) 
1984 : บริสเบน ไลออน (4 เกม ยิง 0) 


นักเตะระดับตำนานของโลก





ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=qs6WTt7atic


Rivaldo "ซ้ายผ่านตอด"

Rivaldo 

"ซ้ายผ่านตอด"



ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : ริวัลโด้ วิเตอร์ บอร์บา เฟอไรรา
วันเกิด : 19 เมษายน 1972 
สถานที่เกิด : เรซิเฟ่, บราซิล 
สโมสร : โอลิมเปียกอส 
ตำแหน่ง : มิดฟิลด์ตัวรุก
ทีมชาติ : บราซิล (1994-2003)


ริวัลโด้ หรือชื่อเต็ม ริวัลโด วิเตอร์ บอร์บา เฟอไรรา (Rivaldo Vitor Borba Ferreira) เกิดวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1972 ที่ประเทศบราซิล เป็นนักฟุตบอลทีมชาติบราซิล ปัจจุบันสังกัดสโมสรฟุตบอลโอลิมเปียกอส ในประเทศกรีซ ริวัลโด้ เป็นส่วนสำคัญของบราซิลชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2002 เขายังได้รับตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปในปี 1999 และได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลคนหนึ่ง ริวัลโด้ ยังมีชื่อเสียงจากลูกเตะจักรยานอากาศ (bicycle shoot) มีฉายาที่เรียกโดยแฟนฟุตบอลชาวไทยว่า "นิเชา"


ประวัติ

ริวัลโด้ เริ่มเล่นฟุตบอลเมื่ออายุ 16 ปีกับสโมสรฟุตบอลซานตาครูซ ในบราซิล เมื่อ ค.ศ. 1989 หลังจากนั้นสองปีเขาได้ย้ายไปเล่นให้กับสโมสร Mogi Mirim EC ในลีกสองของบราซิล ริวัลโดเริ่มมีชื่อเสียงเมื่อย้ายไปร่วมทีมสโมสรฟุตบอลโครินเธียนส์ เมื่อ ค.ศ. 1993 และติดทีมชาติบราซิลเป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน ปีถัดมาเขาย้ายไปร่วมทีมสโมสรฟุตบอลพาลไมรัส

ค.ศ. 1996 ริวัลโดย้ายมาค้าแข้งในทวีปยุโรป โดยเซ็นสัญญาหนึ่งปีกับสโมสรฟุตบอลดีปอร์ติโว ลาคอรุญญ่า ในประเทศสเปน ก่อนที่จะย้ายมาร่วมสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา ด้วยค่าตัว 16.5 ล้านยูโร ช่วงนี้ริวัลโดประสบความสำเร็จกับทีมชาติบราซิลในการคว้าแชมป์โคปา อเมริกา 1997 และเข้าแข่งขันฟุตบอลโลก 1998ที่ประเทศฝรั่งเศส ริวัลโดนำบาร์เซโลนาคว้าแชมป์ลา ลีก้าในปี 1998 และ 1999 ซึ่งในปีนี้ เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าและนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป



ค.ศ. 2002 ริวัลโดย้ายมายังสโมสรฟุตบอลเอซีมิลานในกัลโช่ ซีรีส์ เอของอิตาลี ในฤดูกาล 2002-03 เขาได้แชมป์อิตาเลียนคัพและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกร่วมกับเอซีมิลาน แต่หลังจากนั้นเขาประสบปัญหาฟอร์มตก และย้ายจากมิลานไปเล่นให้สโมสรฟุตบอลเฟเนอร์บาห์นเซในตุรกีได้หนึ่งปี กลับไปเล่นให้สโมสรฟุตบอลครูไซโรในบราซิลเป็นระยะเวลาสั้นๆ และมาอยู่กับสโมสรฟุตบอลโอลิมเปียกอสในประเทศกรีซจนถึงปี 2007

ค.ศ. 2007 ทีมเออีเค เอเธนส์ ได้ซื้อตัวเขามาร่วมทีม โดยลงเล่นให้กับทีมไปทั้งหมด 56 นัด ยิงไป 28 ประตู โดยแมทช์ที่เจอกับโอลิมเปียกอส ทีมเก่าของเขานั้น เขาเป็นแมนออฟเดอะแมทช์ โดยการจ่ายให้ยิงได้ถึง 3 ลูก โดยเอาชนะไปได้อย่างถล่มทลาย 4-0

ค.ศ. 2008 ริวัลโดย้ายไปรว่มทีมเมืองอุซเบกิสถาน ที่ชื่อว่า"เอฟซี บันยดกอร์" ซึ่งเขาพูดถึงการย้ายทีมครั้งนี้ว่า "ได้ค่าเหนื่อยที่ถูกใจ ริวัลโดเซ็นสัญญา 2 ปี รับค่าเหนื่อยมูลค่า 10.2 ล้านยูโร ต่อปี และเป็นกำลังสำคัญของทีมอยู่ในขณะนี้

ฟุตบอลโลก 2002

ริวัลโดประสบความสำเร็จสูงสุดกับการเล่นฟุตบอลในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 โดยร่วมกับโรนัลโด้และโรนัลดิญโญ่ช่วยพาทีมชาติบราซิลได้แชมป์ทัวร์นาเมนต์ครั้งนั้น โดยในรอบสองที่พบกับอังกฤษ ซึ่งเป็นครั้งแรกด้วยที่ทีมชาติทั้งสองได้พบกันในศึกฟุตบอลโลก ริวัลโด้เป็นผู้ตีเสมอให้ทีม 1:1 ก่อนจะหมดครึ่งแรก ก่อนที่โรนัลดิญโญ่จะเป็นผู้ยิงลูกฟรีคิกข้ามหัว เดวิด ซีแมน ผู้รักษาประตูของอังกฤษ ทำให้บราซิลขึ้นนำ 1:2 ในครึ่งหลัง ก่อนจะชนะอังกฤษเข้ารอบไปได้ในที่สุดด้วยสกอร์นี้





ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=i3bHpUMdXlo


Fabio Cannavaro "หนึ่งในสุดยอดกองหลังของโลก"

Fabio Cannavaro

"หนึ่งในสุดยอดกองหลังของโลก"

ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ : ฟาบิโอ คันนาวาโร่
วันเกิด : 13 กันยายน 1973
เกิดที่ : เนเปิ้ลส์, อิตาลี
ตำแหน่ง : กองหลัง
ส่วนสูง : 176 ซม.
ฉายา : Il muro di Berlino (กำแพงเบอร์ลิน)
สโมสรปัจจุบัน : ยูเวนตุส
หมายเลขเสื้อ : 5
ฟาบิโอ คันนาวาโร่ ชื่อนี้ไม่มีใครในโลกลูกหนังที่ไม่รู้จักเพราะเขาคนนี้คือกัปตันทีมชาติอิตาลี ที่ได้เดินนำหน้าทุกคนขึ้นไปชูถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ที่เยอรมนี เมื่อเดือน ก.ค. และกำลังจะขึ้นรับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป หรือรางวัล "บัลลงดอร์" ในเดือนหน้านี้ ถ้าไม่มีอะไรผิดความคาดหมาย

คันนาวาโร่ เป็นหนึ่งในสุดยอดกองหลังของโลกมาช้านาน และได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะกองหลังสุดแกร่งที่มีพร้อมสรรพทั้งการอ่านเกม แรงปะทะ และหัวจิตหัวใจที่ไม่ค่อยท้อถอย แม้ว่าร่างกายจะไม่ได้สูงใหญ่อะไรเลยเพราะมีส่วนสูงแค่ 1.76 ซ.ม.เท่านั้นเอง

กองหลังคิ้วเข้มเกิดที่เมืองเนเปิ้ลส์ ย่อมต้องเป็นสาวกของทีมนาโปลี มาตั้งแต่เด็กๆ และมีฮีโร่ในวัยเด็กคือดีเอโก้ มาราโดน่า เทพเจ้าลูกหนังของชาวเมืองเนเปิ้ลส์ และยังรวมถึงชีโร่ แฟร์ราร่า อดีตกองหลังจอมเก๋าทีมชาติอิตาลี ที่เคยค้าแข้งกับทั้งนาโปลี และยูเวนตุส ซึ่งก็เป็นเส้นทางที่คันนาวาโร่ เลือกเดินตามในชีวิตนักเตะ

ในวัยเด็ก คันนาวาโร่ มีความทรงจำพิเศษกับฟุตบอลโลกในปี 1990 ซึ่งอิตาลี เป็นเจ้าภาพเอง โดยในเกมสำคัญคือในรอบรองชนะเลิศที่ทีมอัซซูรี่ ต้องพบกับทีมเบียงโคชิเลสเต้ หรือทีม "ฟ้าขาว" อาร์เจนติน่า เจ้าหนูคันนาวาโร่ ได้เป็นเด็กเก็บบอลในสนามซาน เปาโล ซึ่งเป็นสนามเหย้าของนาโปลีด้วย (เนื่องจากตอนนั้นเป็นเด็กเยาวชนในทีมนาโปลีนั่นเอง) และได้สัมผัสกับฮีโร่ในดวงใจอย่างมาราโดน่า อย่างใกล้ชิด แม้ว่าเกมนั้นเสือเตี้ย จะทำให้ชาวอัซซูรี่ อกหักทั้งประเทศด้วยการเขี่ยเจ้าภาพตกรอบรองชนะเลิศก็ตาม

หลังจากนั้นไม่กี่ปีคันนาวาโร่ ก็ได้เริ่มต้นเส้นทางชีวิตพ่อค้าแข้งที่นาโปลี เป็นทีมแรกในชีวิต และก็สามารถสร้างชื่อได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากมีพรสวรรค์ของการเป็นกองหลังอยู่เต็มเปี่ยม และได้เริ่มต้นเล่นเกมกัลโช่ เซเรีย อา ในวันที่ 7 มี.ค.1993 ในการออกไปเยือนทีม "ม้าลาย" ยูเวนตุส ว่าที่ทีมในอนาคตของเขาที่ขณะนั้นโดยที่ยังไม่รู้ตัว

คันนาวาโร่ เป็นแกนหลักของนาโปลี ที่อยู่ในยุคตกต่ำหลังการจากไปของมาราโดน่าได้ไม่นาน ก็ต้องถูกขายทอดตลอดให้ปาร์ม่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเพราะเป็นการย้ายทีมเพื่อหาเงินช่วยสโมสรแรกของเขา

แต่เป็นที่ทีม "จัลโล่บลู" นี่เองที่กลายเป็นแหล่งเพาะพรสวรรค์ของเขาอย่างแท้จริง เมื่อคันนาวาโร่ แจ้งเกิดในฐานะกองหลังดาวรุ่งพรสวรรค์ของวงการฟุตบอลอิตาลี โดยจับคู่กับลิลิยอง ตูราม กองหลังตัวแกร่งชาวฝรั่งเศส และจานลุยจิ บุฟฟ่อน ผู้รักษาประตูดาวรุ่งที่ต่อมาทั้ง 3 ได้กลายเป็นนักเตะระดับโลกกันถ้วนหน้า

ที่ปาร์ม่า คันนาวาโร่ ผนึกกำลังกับตูราม และบุฟฟ่อน เป็นสามทหารเสือแนวรับที่ช่วยทำให้ทีมมีผลงานดีเยี่ยม และมีฤดูกาลที่ดีที่สุดในปี 1997 เมื่อสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับ 2 เป็นรองแค่ยูเวนตุสเท่านั้น ก่อนที่ในฤดูกาลถัดมา 1998-99 ปาร์ม่า จะได้ดับเบิ้ลแชมป์ ยูฟ่า คัพ และแชมป์โคปา อิตาเลีย

คันนาวาโร่ รับใช้ปาร์ม่าอย่างซื่อสัตย์อยู่ 7 ปี ก็ได้ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมอินเตอร์ มิลาน ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 32 ล้านยูโร แต่ไม่ประสบความสำเร็จก่อนจะยุติเส้นทางกับทีมเนรัซซูรี่ ไว้แค่ 2 ปีเท่านั้น โดยมียูเวนตุส รับใช้บริการต่อ

และที่ทีมเบียงโคเนรี่ คันนาวาโร่ ได้กลับมาผนึกกำลังกับเพื่อนเก่าอย่างตูราม และบุฟฟ่อนอีกครั้ง และทำให้ยูเว่ มีแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุดในกัลโช่ เซเรีย อา รวมถึงยุโรป และในปี 2005 คันนาวาโร่ ก็ได้สัมผัสกับ "สคูเด็ตโต้" หรือแชมป์อิตาลี เป็นครั้งแรกก่อนที่จะได้แชมป์สมัยที่ 2 ในปีถัดมา

สำหรับในเส้นทางทีมชาติ คันนาวาโร่ ติดทีมชาติอิตาลีชุดอายุต่ำกว่า 21 ปีมาตั้งแต่ 1992 ก่อนที่จะถูกเลื่อนขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่ในปี 1997 ในเกมกับทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ ก่อนจะยึดพื้นที่ในทีมชาติมาได้โดยตลอด

ศึกใหญ่ครั้งแรกของเขาคือฟุตบอลโลก 1998 โดยที่มีคู่หูคืออเลสซานโดร เนสต้า และก็เป็นคู่กองหลังที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งทั้งคู่ก็จับคู่เล่นด้วยกันมาอีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นฟุตบอลโลก หรือฟุตบอลยูโรก็ตาม

ในปี 2000 คันนาวาโร่ เกือบได้แชมป์ใหญ่รายการแรกแล้วเมื่ออยู่ในทีมชาติอิตาลี ที่ได้เข้าชิงชนะเลิศกับทีมชาติฝรั่งเศส และเกือบจะเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้วหากซิลแว็ง วิลตอร์ ไม่ยิงประตูตีเสมอให้เลส์ เบลอส์ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของเวลาปกติ ก่อนที่ดาวิด เทรเซเกต์ จะยิงประตูชัยให้ "เลส์ เบลอส์" ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

แต่ในฟุตบอลโลก 2006 คันนาวาโร่ ที่ได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมชาติชุดนี้เนื่องจากไร้เงาของเปาโล มัลดินี่ ก็กลายเป็นผู้นำขุนพลอัซซูรี่ เดินไปรับถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ หลังจากที่อิตาลี สามารถล้างแค้นทีมฝรั่งเศสได้ในการดวลจุดโทษ และนี่ถือเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคันนาวาโร่

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเขาต้องพลิกผันครั้งสำคัญเมื่อยูเวนตุส ต้นสังกัดถูกศาลตัดสินให้มีความผิดในคดีการมีส่วนต่อการล้มบอลและโดนปรับตกชั้นไปเล่นในกัลโช่ เซเรีย บี ทำให้เหล่าขุนพลเบียงโคเนรี่ ที่ไม่สามารถทนรับการเล่นในดิวิชั่นต่ำกว่าได้กระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทิศทาง ซึ่งคันนาวาโร่ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

คันนาวาโร่ เลือกย้ายมาอยู่กับทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด พร้อมกับเอเมอร์สัน กองกลางชาวบราซิล และปักหลักเป็นหัวใจสำคัญในเกมรับของลา เรอัล ในช่วงปี 2006-2009

ฟอร์มของคันนาวาโร่ ดีจัดถึงขนาดได้รับรางวัลบังลงดอร์ ในปี 2006 การันตีคุณภาพของเขาเลย

และด้วยเกียรติยศแห่งลูกบอลทองคำ ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ชื่อของฟาบิโอ คันนาวาโร่ ถูกบันทึกไว้ในหอเกียรติยศในฐานะหนึ่งในกองหลังที่แกร่งที่สุดตลอดกาลของโลกลูกหนัง

และไม่นานมานี้ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เพิ่งจะทำสถิติลงเล่นรับใช้ทีมชาติอิตาลีสูงสุดในประวัติศาสตร์ 126 นัด เทียบเท่า เปาโล มัลดินี่ อดีตกัปตันผู้ยิ่งใหญ่ของทัพอัซซูรี่ แต่ไม่มีใครกล่าวขวัญถึงมากเท่าที่ควร

นั่นก็คงเป็นเพราะ ผลงานสุดอนาถาของอิตาลีในศึกคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพมากลบเรื่องอื่นๆ ไปจนหมดสิ้น ทั้งการแพ้อียิปต์แบบช็อกโลก 0-1 ต่อเนื่องด้วยการถูกบราซิลยำใหญ่ 3-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา จนตกรอบแรกไปอย่างน่าผิดหวัง
เราคงไม่ต้องพูดถึงฟอร์มตกต่ำย่ำแย่ของอิตาลี แต่มาเน้นประเด็นที่ว่า คันนาวาโร่ เพิ่งจะสวมเสื้ออัซซูรี่ลงรับใช้ชาติเป็นนัดที่ 126 ในเกมคอนเฟดฯ รอบแรกนัดสุดท้าย กับบราซิลซึ่งถือเป็นสถิติการลงเล่นให้อิตาลีสูงสุด เท่ากับของเดิมของมัลดินี่ทำไว้

คันนาวาโร่เริ่มเล่นให้อิตาลีนัดแรก ในเกมอุ่นเครื่องที่ชนะไอร์แลนด์เหนือ 2-0 เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 1997

12 ปีให้หลังจากนั้น กองหลังชาวนาโปลีก็ยังยืนหยัดรับใช้ชาติบ้านเกิดเหมือนเดิม แถมยังได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนกัปตันทีมอีกด้วย

นอกจากจะสืบทอดตำแหน่ง "อิล กาปิตาโน่" ต่อจากมัลดินี่แล้ว วันนี้กัปตันคันนายังทาบสถิติสูงสุดของอดีตปราการหลังเอซี มิลานได้แล้ว และแน่นอนว่า อีกไม่ช้า เขาจะทำลายสถิติเดิม ซึ่งคงอีกนานกว่าที่มีใครมาแทนได้

คันนาวาโร่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการนำพาอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันมาครองได้ จากผลงานที่ยอดเยี่ยมทั้งกับยูเวนตุส ต้นสังกัด และกับทัพอัซซูรี่ ทำให้เขากวาดรางวัลบัลลงดอร์ และแข้งยอดเยี่ยมฟีฟ่าในปีนั้นไปครองแบบไม่มีข้อโต้แย้ง

แต่อาถรรพ์รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของฟร้องซ์ ฟุตบอลอาจจะส่งผลอย่างที่ใครหลายคนว่ากันไว้ หรืออาจเป็นเพราะอายุอานามที่มากขึ้น ทำให้นับจากนั้นคันนาก็ไม่สามารถกลับไปยืนยังจุดสูงสุดที่เคยทำได้อีก

ผลงานของเขากับเรอัล มาดริด ตั้งแต่ปี 2006-08 ถือว่าไม่น่าประทับใจนัก และในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเปิดฉาก เขาก็จะกลับไปเล่นให้ยูเวนตุส ทีมเก่าของตัวเองอีกครั้ง แม้แฟนบอลจะยี้ไม่อยากได้ และตราหน้าเขาว่าทรยศทีมก็ตามที

เท่านั้นยังตกต่ำไม่พอ การนำทัพเพื่อนๆ และรุ่นน้องร่วมทัพอัซซูรี่ลุยแอฟริกาใต้ ในศึุกคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ยังถือเป็นความอัปยศอดสูอีกครั้ง

นอกจากอิตาลีจะเล่นไม่เหลือหลายแชมป์โลกแล้ว นักเตะหลายคนจากชุดประวัติศาสตร์ยังโดนโจมตีว่าเลยผ่านจุดสูงสุดไปหมด และควรจะเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้ขึ้นมาแทนที่ แน่นอนว่า คันนาวาโร่ คือ 1 ในแข้งที่โดนวิพากษ์วิจารณ์หนักด้วย

วันเวลาที่ผ่านพ้นไป และสังขารที่ร่วงโรย เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าอดีตฮีโร่ของชาติอย่างคันนา จะโดนมองข้ามและโดนรุมโจมตีได้มากกว่านี้

แม้วันที่ทำสถิติลงเล่นให้อิตาลีสูงสุด เขาก็ยังไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร เพราะดันเล่นด้วยฟอร์มที่ตกต่ำย่ำแย่

ฤดูกาลใหม่ กับทีมเก่า อย่างยูเวนตุส จะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องคอยลุ้นกัน



"กองหลังจอมเก๋า"




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=7EW5yRK6XpE


Gianluigi Buffon "จันลุยจี บุฟฟอน บินได้"

Gianluigi Buffon

"จันลุยจี บุฟฟอน  บินได้"




จันลุยจี บุฟฟอน (อิตาลี: Gianluigi Buffon) เกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1978 เป็นผู้รักษาประตูตัวเลือกแรกในทีมชาติอิตาลีและสโมสรฟุตบอลยูเวนตุส ในอตีดเคยเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลปาร์มา ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีมยูเวนตุสในปี ค.ศ. 2001 ด้วยค่าตัว 32 ล้านปอนด์
[แก้]ประวัติ

จันลุยจี บุฟฟอน หรือ "จีจี้" ที่คุ้นเคยกันดีในแดนมะกะโรนี คือกุญแจสำคัญที่ทำให้อิตาลีผงาดคว้าแชมป์โลก 2006 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และนั่นก็ทำให้เขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็นนายทวารหมายเลข 1 ของโลกในเวลานี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
หลายคนอาจจะยังไม่รู้มาก่อนว่า บุฟฟอนเคยเล่นในตำแหน่งกองกลาง จนกระทั่งมีจุดเปลี่ยนตอนอายุ 14 ปี หลังจากที่ต้องสวมบทนายทวารจำเป็นเมื่อเจ้าของตำแหน่งทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บ และในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา จีจี้ก็กลายเป็นผู้รักษาประตูตัวหลักของทีมไปโดยปริยาย
ในปี ค.ศ. 1995 บุฟฟอนในวัย 17 ปี ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับปาร์มา และแมตช์แรกในเซเรียอาของเขาก็คือการเผชิญหน้ากับทีมยักษ์ใหญ่อย่างเอซีมิลาน ในปีถัดมาเขาก็ได้ลงเล่นให้ทีมชาติในศึกโอลิมปิก 1996 ที่นครแอตแลนตา สหรัฐอเมริกาด้วย
หลังจากที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับต้นสังกัด บุฟฟอนก็ได้ลงเล่นทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในวัย 19 ปี แทนที่จันลูกา ปายูกา ที่ได้รับบาดเจ็บในเกมเพลย์ออฟเพื่อชิงตั๋วฟุตบอลโลก 1998 กับรัสเซียที่กรุงมอสโก
จีจี้ได้รับการตอบแทนด้วยการมีชื่อในทีมอัซซูรีชุดลุยศึกเวิลด์คัพ 1998 ทว่า ก็ทำได้แค่นั่งดูอยู่บนม้านั่งสำรองเท่านั้น เนื่องจากปายูกา ยึดตัวจริงเอาไว้ได้หลังจากที่หายจากอาการบาดเจ็บ จากนั้นเขาก็ได้ช่วยให้อิตาลีผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2000 ได้แบบไม่มีพลิกโผ
ในปี ค.ศ. 2001 บุฟฟอนได้ย้ายจากปาร์มาไปร่วมทีมระดับบิ๊กอย่างยูเวนตุสด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกสำหรับผู้รักษาประตู 52.29 ล้านยูโร (ประมาณ 2,614 ล้านบาท) แม้เจ้าตัวจะเคยเอ่ยปากยอมรับว่ามันเป็นค่าตัวที่ออกจะมากเกินไปสำหรับนักเตะคนหนึ่ง ทว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกดดันกับความคาดหวังแต่อย่างใด
นายทวารจอมหนึบช่วยให้อิตาลีได้ผ่านเข้าถึงฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ และในปีถัดมา เขาก็คว้ารางวัล "นักเตะทรงคุณค่า" และ "ผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม" ของยูฟ่า นอกจากนั้นยังได้รับยกย่องจากเปเล่ ตำนานนักเตะทีมชาติบราซิล ว่าเป็น 1 ใน 125 นักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004
ฤดูกาล 2004-2005 บุฟฟอนก็ช่วยให้ยูเวนตุสคว้าสกูเดตโตไปครองเป็นสมัยที่ 3 ในรอบ 4 ฤดูกาลได้สำเร็จ แม้ว่าจะโชคร้ายได้รับบาดเจ็บระหว่างชนกับกาก้า เพลย์เมกเกอร์ของมิลาน จนต้องผ่าตัดหัวไหล่ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 2005 แต่กลับมาลงสนามได้เพียงเกมเดียวในเดือนพฤศจิกายนก็ต้องพักยาวอีกครั้ง เนื่องจากอาการบาดเจ็บกำเริบก่อนจะฟิตกลับมาเฝ้าเสาได้ในเดือนมกราคม
ไม่เพียงแต่จะต้องขึ้นเขียงด้านสภาพร่างกายเท่านั้น แต่จีจี้ยังต้องเผชิญหน้ากับข่าวร้ายครั้งใหญ่ เมื่อมีการเปิดเผยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ยูเวนตุสมีส่วนพัวพันในคดีจ้างวานล้มบอล และบุฟฟอนรวมถึงอันโตนีโอ กีเมนตี อดีตนายทวารทีมม้าลาย กับเพื่อนนักเตะอีกหลายคนก็พลอยติดร่างแหไปด้วยฐานแอบแทงพนันอย่างผิดกฎระหว่างที่ยังค้าแข้งกับปาร์มา
วันถัดมา เขาก็ต้องเข้าไปให้ปากคำกับผู้พิพากษาของเมืองตูรินเพื่อที่จะลบล้างมลทินของตัวเอง ในขณะที่ยอมรับว่าเคยเล่นพนันกีฬาประเภทอื่นจริง แต่เจ้าตัวก็ยืนยันว่าไม่เคยพนันฟุตบอลอิตาลีเลย
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องดังกล่าว บุฟฟอนก็ยังติดทีมชาติอิตาลีไปลงชิงชัยในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟหลายครั้งหลายคราจนพาอัซซูรีทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนจะคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ไปครองด้วยการเฉือนชนะฝรั่งเศสในการดวลจุดโทษ
ตลอดทัวร์นาเมนต์ บุฟฟอนเสียประตูให้คู่แข่งแค่ 2 ลูกเท่านั้น โดยลูกหนึ่งมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของคริสเตียน ซัคคาร์โด เพื่อนร่วมทีม และอีกลูกมาจากการยิงจุดโทษของซีเนดีน ซีดาน ในรอบชิงชนะเลิศ และนั่นทำให้ฟีฟ่าประกาศให้เขาเป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำฟุตบอลโลก 2006
หลังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดกับทีมอัซซูรีได้ไม่กี่วัน บุฟฟอนก็ต้องกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เมื่อพบว่ายูเว่ต้องถูกปรับตกชั้นไปเล่นในเซเรียบี เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม จากความผิดฐานจ้างวานล้มบอล ซึ่งทำให้สตาร์หลายคนของทีมหนีเอาตัวรอดไปอยู่ทีมอื่นกันหมด ทว่านายทวารวัย 28 ปี ก็แสดงสปิริตด้วยการรับใช้ทีมต่อไป แม้ว่าจะต้องออกสตาร์ตฤดูกาลใหม่ด้วยการติดลบถึง 30 แต้ม ก่อนจะยื่นอุทธรณ์และลดลงมาเหลือ -17 และ -9 ในการตัดสินครั้งล่าสุด
ด้วยปฏิกิริยาอันยอดเยี่ยมในการรับบอล ออกมาตัดบอล และเซฟลูกยาก ๆ ของบุฟฟอนที่มีให้เห็นบ่อยครั้ง ทำให้เวลานี้ ยูเวนตุสมีโอกาสสูงมากที่จะได้เลื่อนชั้นกลับมาสู่ลีกสูงสุดทันทีหลังจบฤดูกาล
แม้จะพลาดรางวัลใหญ่อย่างนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปหรือบาลงดอร์ แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่าจันลุยจี บุฟฟอน คือสุดยอดผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ทั้งหัวใจและฝีมืออย่างแท้จริง


จอมหนึบ



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=fjKp_FCvRvE


Alessandro Del Piero "เดอะ เดล ปีเอโร่ โซน"

Alessandro Del Piero

อเลสซานโดร เดล ปีเอโร   "เดอะ เดล ปีเอโร่ โซน"


            อเลสซานโดร เดล ปีเอโร (อิตาลี: Alessandro Del Piero) เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 ที่เมือง Conegliano ประเทศอิตาลี หรือที่เพื่อนๆต่างเรียกจนคุ้นหูกันว่า "อาเล่" ปัจจุบันเป็นกัปตันทีม ยูเวนตุส และดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ ยูเวนตุส เดลปีเอโร่ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับทีม ปาโดว่า ก่อนที่จะถูกยูเวนตุสดึงตัวมาร่วมทีม เนื่องจากฝีเท้าที่แพรวพราว และเมื่อเขามา เขาก็ไม่ทำให้แฟนๆยูเวนตุสต้องผิดหวัง เมื่อเขาสามารถช่วยให้ทีมของเขา ได้เป็นแชมป์ถึงหลายรายการ และล่าสุด เขาก็ยังได้แชมป์โลกกับฟุตบอลทีมชาติอิตาลี ในศึก ฟุตบอลโลก 2006 ที่ผ่านมาอีกด้วย เดล ปีเอโร่นั้นมีลีลาการเล่นที่สวยงาม มีเทคนิคการเลี้ยงบอลที่ดี การเปิดบอลก็แม่นยำ แล้วก็ลูกเตะฟรีคิกก็ยังเป็นทีเด็ดอีกอย่างของเดล ปีเอโร่อีกด้วย เดล ปีเอโร่มีทีเด็ดอยู่ที่การยิงจากฝั่งซ้ายของเขตโทษ ซึ้งเป็นการยิงที่เฉียบขาด มีชื่อเรียกกันว่า "เดอะ เดล ปีเอโร่ โซน"
เนื้อหา  [ซ่อน] 
1 สโมสร
2 ทีมชาติ
3 ชีวิตส่วนตัว
4 เกียรติประวัติ
5 เกียรติประวัติส่วนตัว
6 อ้างอิง
7 แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]สโมสร

เดล ปีเอโร่ เริ่มต้นอาชีพ นักฟุตบอลของเขากับ สโมสรฟุตบอลปาโดว่า ตั้งแต่อายุ 16 ปี และย้ายมาอยุ่กับสโมสรฟุตบอลยูเวนตุสในปี ค.ศ. 1993 โดยลงเล่นให้กับยูเวนตุสนัดแรก ในการพบกับ ฟอจจา และมายิงประตูได้นัดในถัดมาที่พบกับ เรจจิน่า เขาสามารถยิง แฮทริกได้ครั้งแรกในนัดที่พบกับ ปาม่า ตั้งแต่เดล ปีเอโร่มาค้าแข่งอยู่กับยูเวนตุส เขาก็พายูเวนตุสคว้าแชมป์ต่างๆมากมายหลายรายการ ทั้งแชมป์ลีค และแชมป์สโมสรยุโรป
ในฤดูกาล 1998/99 เดล ปีเอโร่ก็ต้องพบกับช่วงเลวร้ายที่สุดของชีวิตนักฟุตบอล เมื่อนัดที่ ยูเวนตุสพบกับอูดิเนเซ่ โดยนัดนี้เองที่เดล ปีเอโร่ ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงบริเวณหัวเข่า ซึ่งทำให้เอ็นหัวเข่าขาด และต้องพักรักษาตัวถึง 1 ฤดูกาลเต็มๆ แต่หลังจากการรักษาตัว เดล ปีเอโร่ก็เริ่มกลับมาลงเล่นให้กับทีมอีกครั้ง แล้วก็พายูเวนตุส คว้าแชมป์ลีคได้อีก 2 สมัย ทั้งยังได้เข้าชิงชนะเลิศ ฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีคอีกด้วย ปัจจุบันเขาเป็นกัปตันทีมยูเวนตุสและดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร โดยตอนนี้เขายิงไปแล้วทั้งสิ้น 195 ประตู แต่จบฤดูกาล 2005/06 ยูเวนตุสถูกปรับตกชั้น เนื่องจากคดีล้มบอล ทำให้ยูเวนตุสต้องลงไปแข่งใน ซีเรียบีทำให้ดาวดังของทีมหลายคนต้องออกจากสโมสรไป แต่เดล ปีเอโร่ ตัดสินใจอยู่ช่วยทีมต่อไป พร้อมกับ พาเวล เนดเวด และ จานลุยจิ บุฟฟอน ซึ่งเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่เหลืออยู่ ทำให้ตอนนี้ ทั้ง 3 กลายเป็นตำนานของสโมสรฟุตบอลยูเวนตุสไปแล้ว
และในตอนนี้เดล ปีเอโร่เองก็ได้กลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ของยูเวนตุสไปแล้ว โดยล่าสุดเขาทำสถิติยิงประตูมากที่สุดตลอดกาลของสโมสรยูเวนตุสที่แต่เดิมเป็นของ จิอันปิเอโร่ โบนิแปร์ตี้ ซึ่งทำไว้ทั้งหมด 182 ประตู โดยประตูประวัติศาสตร์ของเดล ปีเอโร่เกิดขึ้นในนัดที่พบกับ ฟิออเรนติน่า โดยลูกแรกเขายิงประตูด้วยเท้าซ็ย อันเป็นประตูที่183 และหลังจากนั้นก็มาจากการยิงลูกฟรีคิกซึ่งเป้นประตูที่ 184 และจากนั้นก็ยิงจุดโทษซึ่งเป็นประตูที่ 185 นับว่าเป็นการทำลายสถิติที่สวยงามอย่างยิ่ง ปัจจุบันเดล ปีเอโร่ยังคงทำประตูต่อไปเรื่อยๆจนตอนนี้เขายิงประตูภายใต้เสื้อยูเวนตุสไปแล้วทั้งสิ้น 224 ประตู จาก 534 นัด ที่ลงสนาม นอกจากนี้เขายังทำลายสถิติลงสนามมากที่สุดด้วยโดยปัจจุบันเดล ปิเอโร่ลงสนามในเสื้อทีมยูเวนตุสไปแล้ว 560 นัดนับเป็นสถิติสูงสุดในตอนนี้ และได้ทำลายสถิติของ เกตาโน ชีเรีย ซึ้งทำไว้ทั้งสิ้น 552 นัด การลงสนามเทียบเท่า เกตาโน ชีเรียคือนัด กัลโซ่ซีรีเอ อิตาลี นัดที่ 30 ในการบุกทุบ อินเตอร์ มิลานในบ้าน 1-2 ในนัดนั้นอาเล่มีโอกาสหลายครั้ง ในส่วนของรางวัลส่วนตัว เดล ปีเอโร่นั้นได้รับการเสนอชื่อ จากเปเล่ให้ติด ฟีฟ่า 100 ซึ่งเป็นรายชื่อนักฟุตบอล125คนที่ ที่ถูกเสนอชื่อโดยเปเล่ และล่าสุดยังได้รับรางวัล รองเท้าทองคำ ในปี 2007 ซึ่งเป็นรางวัลที่จะมอบให้แก่นักเตะที่มีอายุ29ปีขึ้นไปที่ทำผลงานได้อย่างดีในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกด้วย
ในฤดูกาล 07/08 เดล ปิเอโร่สามารถพายูเวนตุสที่พึ่งได้เลื่อนชั้นขึ้นมาจาก ซีรี่ บี คว้าตำแหน่งอันดับที่3ของซีรี่ เอ ทำให้ทีมได้ไปเตะฟุตบอลสโมสรยุโรปในฤดูกาลหน้า พร้อมทั้งเขาสามารถยิงประตูได้ถึง 21 ประตู ซึ่งเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกอิตาลีอีกด้วย และเป็นครั้งแรกของเดล ปิเอโร่ที่ได้รับรางวัลนี้ นับว่าฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่เยี่ยมยอดที่สุดของเขา นับจากหายเจ็บเมื่อครั้งปี 1998ทีเดียว ซึ่งจากการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ ส่งผลให้เขากลับไปติดทีมชาติอิตาลีอีกครั้ง เพื่อไปแข่งขันในศึกยูโร 2008 ในกลางปีนี้อีกด้วย
ฤดูกาล 08/09 มาถึง ยูเวนตุสได้เสริมทีมมาอย่างดีพอวมควร และเดล ปิเอโร่เองก็ยังเป็นกัปตันผู้นำทีมเช่นเดิม ยูเวนตุสได้กลับไปเล่นในถ้วยยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกอีกครั้งโดยหนนี้ในรอบคัดเลือกรอบที่3 โดยการเอาชนะทีมอาร์ทมีเดียมาได้ ในนัดแรกแข่งขันกันที่สนามโอลิมปิโก้ที่เมืองตูริน โดยยูเวนตุสเอาชนะไปได้ด้วยผลการแข่งขัน 4-0ในนัดแรก และเดล ปิเอโร่ก็สามารถทำประตูที่สุดสวยในนัดนี้ได้อีกด้วย ก่อนที่นัดต่อมายูเวนตุสจะบุกไปเสมอกับอาร์ทมีเดียด้วยผลการแข่งขัน 1-1 ทำให้ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มด้วยประตูรวม 5-1 โดยในรอบแบ่งกลุ่มนั้น ยูเวนตุสต้องไปอยู่ในกลุ่มที่แข็งแกร่งมาก เมื่อมีทีมอย่าง เรอัล มาดริด แห่งสเปน และเซนิธ เซ็นปีเตอร์เบิร์กยอดทีมจากรัสเซียร่วมกลุ่มอยู่ด้วย ส่วนอีกทีมที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ เอฟซี บาเต้ ซึ่งเป็นทีมจากประเทศเบรารุส ในนัดแรกนั้นยูเวนตุสเล่นในโอลิมปิโก้บ้านของพวกเขา เอาชนะ เซนิธ เซ็นปีเตอร์เบิร์กไปได้ด้วยผลการแข่งขัน 1-0 และก็เป็น เดล ปิเอโร่ที่ยิงประตูชัยด้วยลูกฟรีคิ๊กจากระยะไกล เข้าไปอย่างสวยงาม ส่วนในนัดที่2 ยูเวนตุสบุกไปทำได้แค่เสมอกับ เอฟซี บาเต้เท่านั้น ด้วยผลการแข่งขัน 1-1 ส่วนในลีกนั้น ยูเวนตุสยังไม่อาจหาฟอร์มเก่งได้ และเดล ปิเอโร่สามารถทำได้เพียงประตูเดียวเท่านั้นจากการยิงฟรีคิ๊ก ในนัดที่ยูเวนตุสแพ้ให้กับ ปาแลร์โม่ในบ้านของตัวเอง ด้วยผลการแข่งขัน 1-2
[แก้]ทีมชาติ

เดล ปีเอโร่ ได้ทำศึกฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1998 ซึ่งครั้งนั้นเขามาแรงมาก เนื่องจากหลายคนคาดว่าเขาจะเป็นตัวแทนของ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ตำนานเปียทองคำของอิตาลี แต่ในครั้งนั้น บาจโจ้ก็ยังติดฟุตบอลทีมชาติอิตาลีอยู่เหมือนกัน ซึ่ง ผลงานในระดับชาติคงเดล ปีเอโร่นั้น ไม่ค่อยดีนัก ช่วงหลังมาเขาไม่ค่อยได้ลงเป็นตัวจริงบ่อยเท่าไร โดยในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2000นั้น อิตาลีได้เข้าชิงชนะเลิศ พบกับฝรั่งเศสอิตาลีได้ประตูขึ้นนำก่อนจาก มาร์โก เดลเวคคิโอ้ และเกมส์ทำท่าจะดี และเดล ปีเอโร่ ก็ได้ลงมาในครึ่งหลัง
หลังจากนั้นเขามีโอกาสทองในการทำประตูฝรั่งเศสถึง2ครั้ง แต่เขายิงไม่ผ่านมือของ ฟาเบียง บากเตซ หลังจากนั้นฝรั่งเศสก้มาตีเสมอได้ในช่วงท้ายเกมส์จึงทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ และในช่วงต่อเวลานี่เอง ดาวิด เทรเซเก้ ก็มายิงประตูให้ฝรั่งเศสพลิกกลับมาชนะอิตาลี และได้แชมป์ยูโร2000ไปครอง ซึ่งนั่นเป้นฝันร้ายของเดล ปีเอโร่ในครั้งนั้น ต่อมาในศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นเจ้าภาพร่วมกันนั้น อิตาลีฟอร์มไม่ค่อยจะดีนัก โดยนัดแรกชนะได้แต่นัดที่2กลับแพ้ ทำให้นัดที่3ต้องไม่แพ้สถานเดียว โดยนัดทื่3พบกับ เม็กซิโกโดยอิตาลีต้องพบฝันร้ายเมื่อเม็กซิโก ขึ้นนำไปก่อนในครึ่งแรก จากนั้นพอมาครึ่งหลัง เดล ปีเอโร่ ได้โอกาสลงสนาม และเขาก็เป็นผู้โหม่งตีเสมอให้อิตาลีรอดพ้นจากการตกรอบแรกได้ แต่อิตาลีก็ต้องมาตกรอบในนัดถัดมาเมื่อพบกับเกาหลีใต้ซึ้งเป็นเจ้าภาพร่วมในครั้งนั้น และต่อมาในปี 2004 ซึ่งมีศึกยูโรนั้น อิตาลีก็ต้องจบเส้นทางเพียงแค่รอบแรกเท่านั้น แต่ปี 2006 อิตาลีกลับมาอีกครั้งในฟุตบอลโลก 2006
ซึ่งครั้งนี้อิตาลีมีทั้งฟอร์มและโชค โดยอิตาลีสามารถชนะคู่แข่งมาได้จนถึงรอบรองชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับเจ้าภาพเยอรมัน และอิตาลีก็มาได้ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ2นาทีสุดท้ายจาก ฟาบิโอ กรอสโซ่ และเดล ปีเอโร่ ก็ยิงลูกสุดสวยในนาทีสุดท้าย และเป็นการลงมาพลิกเกมส์ให้อิตาลีในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้อิตาลีผ่านเข้ารอบ ชิงชนะเลิศไปพบกับฝรั่งเศสตู่แค้นเก่า เกมในเวลาเสมอกัน1-1 จึงต้องต่อเวลาแต่ยังไม่มีใครทำอะไรกันได้ ทำให้ต้องยิงจุดโทษตัดสิน และอิตาลีก็คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จเป็นสมัยที่4 และเป็นแชมป์โลก ครั้งแรกของเดล ปีเอโร่อีกด้วย
ช่วงหลังนั้นเดล ปิเอโร่ห่างหายจากทีมชาติไปนาน เนื่องจากเทรนเนอร์โรแบร์โต้ โดนาโดนี่ไม่ประทับใจฟอร์มของเขาในนัดที่เจอกับทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งนัดนั้นเดล ปิเอโร่เล่นได้ไม่ดีนัก ทำให้เขาหลุดจากทีมชาติไปนานหลายเดือน ก่อนที่เดล ปิเอโร่กลับมาสวมเสื้อทีมชาติอิตาลีอีกครั้งในศึกฟุตบอล ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี2008 ซึ่งครั้งนี้ เดล ปิเอโร่ ได้ลงเล่นทั้งหมด3นัด ในการเจอกับฮอลแลน โรมาเนีย และสเปน ซึ่งอิตาลีก็ได้แพ้จุดโทษทีมชาติสเปนทำให้อิตาลีต้องตกรอบ8ทีมสุดท้ายไป
[แก้]ชีวิตส่วนตัว

เดล ปีเอโร่ลืมตาดูโลกครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 ที่เมือง โคเนญาโน่ Conegliano ประเทศอิตาลี ครอบครัวของเดล ปีเอโร่นั้นมีทั้งหมด 4คน ดังนี้ มีคุณแม่บรูน่าเป็นแม่บ้าน คุณพ่อจิโน่เป็นช่างไฟ พี่ชายสเตฟาโน่ และตัวของอเลสซานโดรเอง ปัจจุบันคุณพ่อจิโน่ เดล ปีเอโร่ได้เสียชีวิตแล้วในปี 2001 ส่วนพี่ชายสเตฟาโน่ เดล ปีเอโร่นั้นก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้น้องชาย ในตอนที่เดล ปีเอโร่อายุได้ 13ปี เขาก็เล่นฟุตบอลให้กับทีม เวนเดเมียโน่ ซึ่งหลังจากนั้นก็มีแมวมองของปาโดว่ามาชวนไปร่วมทีม ในด้านความรักเดล ปีเอโร่ได้แต่งงานกับ โซเนีย อโมรูโซ่(นามสกุลก่อนแต่ง)ในปี 2005 โดยที่ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1999 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2007 อโมรูโซ่ได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อว่า โทเบียส เดล ปีเอโร่ และหลังจากนั้นวันที่ 4 พฤษภาคม 2008 ทั้งคู่ก็ได้ลูกสาวอีกคน ชื่อว่า โดโรเธีย[2]
[แก้]เกียรติประวัติ

7 แชมป์ เซเรียอา : 1994/95,1996/97,1997/98,2001/02,2002/03 (2004/05,2005/06 ถูกเรียกคืน สืบเนื่องจากการรับโทษจากคดีกัลโช่โปลีของสโมสรยูเวนตุส)
1 แชมป์ เซเรียบี : 2006/07
4 แชมป์ อิตาเลี่ยน ซูเปอร์ คัพ : 1995,1997,2002,2003
1 แชมป์ โคปป้า อิตาเลีย : 1994/95
1 แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก : 1995/96
3 เข้าชิง ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก : 1996/97,1997/98,2002/03
1 แชมป์ ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์คัพ : 1996
1 แชมป์ สโมสรโลก : 1996
1 แชมป์ อินเตอร์โตโตคัพ : 1999
1 แชมป์ เยาวชน อิตาลี : 1994
1 เข้าชิง ยูฟ่า คัพ : 1995
2 แชมป์ ยูโร U-21 : 1992/94,1994/96
1 เข้าชิง ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป : 2000
1 แชมป์ ฟุตบอลโลก : 2006
[แก้]เกียรติประวัติส่วนตัว

นักฟุตบอลยุโรปยอดเยี่ยมแห่งปี รุ่น U-21
นักฟุตบอลอิตาลียอดเยี่ยมปี 1998
ดาวซัลโวฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปปี 1997
ดาวซัลโวฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปปี 1998
ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสรฟุตบอลยูเวนตุส
เปเล่เสนอชื่อเดล ปิเอโร่เข้าสู่ ฟีฟ่า 100[3]
รางวัลรองเท้าทองคำปี 2007
รางวัลออสก้ากัลโช่ปี 2009



จอมทัพ




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=ZUD05h4Fr3A


Luís Figo "หนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกในรอบสิบปีที่ผ่านมา "



Luís Figo 


"หนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกในรอบสิบปีที่ผ่านมา "


ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : หลุยส์ เฟลิเป้ มาไดร่า คาไรโร่ ฟิโก้
วันเกิด : 4 พฤศจิกายน 1972
สถานที่เกิด : อัลมาดา, โปรตุเกส
สัญชาติ :  โปรตุเกส
ส่วนสูง : 1.80 เมตร (5 ฟุต 11 นิ้ว)
สโมสร : อินเตอร์ มิลาน
ตำแหน่ง : ปีกขวา
เบอร์เสื้อ : 7

หลุยส์ ฟิโก้ คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกในรอบสิบปีที่ผ่านมา เขาคือเจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมยุโรปในปี 2000 และผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าในปี 2001 ความสามารถในการลากเลื้อย และทักษะการครองบอลอันแข็งแกร่งของเขาเป็นที่ยอมรับของทุกๆ คน และเขายังเป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนที่เคยลงเล่นให้กับสองสโมสรยักษ์ใหญ่ของสเปนทั้ง บาร์เซโลน่า และ รีล มาดริด

เริ่มต้นนักฟุตบอลอาชีพ



1989-1995 : สปอร์ติ้ง ลิสบอน

ฟิโก้ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ทีมดังในประเทศบ้านเกิด และถูกเรียกตัวติดทีมชาติเป็นครั้งแรกในปี 1991 ก่อนหน้านั้นเขาเป็นสมาชิกของทีมเยาวชนโปรตุเกสชุดที่คว้าแชมป์โลกชุดอายต่ำกว่า 20 ปีร่วมกับเพื่อนร่วม "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" อย่าง รุย คอสต้า, เจา ปินโต และ เปาโล ซูซ่า

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตนักฟุตบอลของ ฟิโก้ เกิดขึ้นในปี 1995 เขาได้รับความสนใจจากบรรดาทีมชั้นนำในยุโรปแต่เรื่องยุ่งยากก็เกิดขึ้น เมื่อเขาไปเซ็นสัญญาซ้ำซ้อนกับ ยูเวนตุส และ ปาร์ม่า พร้อมๆ กันทำให้ให้ถูกสั่งลงโทษไม่ให้ย้ายไปเล่นในอิตาลีเป็นเวลาสองปี ส่งผลให้ทีมที่คว้าตัวเพชรเม็ดงามอย่างเขาไปครอบครองก็คือ บาร์เซโลน่า นั่นเอง



1995-2000 : บาร์เซโลน่า

ภายใต้การดูแลของ โยฮัน ครัฟฟ์ เพียงชั่วเวลาเพียงแค่ 4 ปี ฟิโก้ ก็กลายเป็นนักเตะขวัญใจแฟนบอลและกัปตันทีมของสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลัน โดยเขาร่วมคว้าแชมป์ ลา ลีกา และแชมป์ โคปา เดล เรย์ กับทีมได้อย่างละ 2 สมัย

ฟิโก้ ไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่นตำแหน่งปีกชั้นนำเท่านั้น แต่เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกด้วยความสามารถในการเลี้ยงบอลได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และสถิติจำนวนการเปิดป้อนให้เพื่อนร่วมทีมทำประตู (ฟิโก้ เคยกล่าวว่าเขาชื่นชอบที่จะเป็นผู้ผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูมากกว่ายิงเอง)



2000-2005 : เรอัล มาดริด

ในปี 2000 ชื่อของเขาก็กลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลสเปน เมื่อ รีล มาดริด จ่ายเงินถึง 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2,240 ล้านบาท) และนั่นทำให้เขาเป็นนักเตะที่โด่งดังที่สุดเท่าที่เคยมีการโยกย้ายระหว่างสโมสรทั้งสอง

นอกจากนี้มันยังส่งผลให้เกิดความเกลียดชังอย่างบ้าคลั่งจากแฟนบอลของ บาร์ซ่า ที่มีต่อตัว ฟิโก้ เองด้วย จากอดีตปีกขวัญใจอันดับหนึ่ง ฟิโก้ กลับกลายเป็นคนที่แฟนบอลในถิ่น คัมป์ นู เกลียดชังมากที่สุดและถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและเห็นแก่เงิน

หนึ่งในภาพเหตุการณ์ที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกก็คือในระหว่างเกม ยูโร 2004 รอบชิงชนะเลิศที่ ฟิโก้ ลงเล่นให้โปรตุเกสพบกับกรีซ แฟนบอลคนหนึ่งได้วิ่งลงมาในสนามตรงมาหา ฟิโก้ และขว้างผ้าผืนหนึ่งมาที่ตัวเขา ผ้าผืนดังกล่าวก็คือธงเชียร์ของสโมสรบาร์เซโลน่านั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การย้ายทีมของเขาจะเต็มไปด้วยเรื่องราวอื้อฉาวที่ตามมามากมาย แต่ ฟิโก้ ก็แสดงให้เห็นว่านั่นไม่ใช่การตัดสินใจผิด เมื่อเขาร่วมคว้าแชมป์ได้กับทีมราชันชุดขาวมากมายหลายรายการ โดยเฉพาะในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลที่เขารอคอยมานาน

นอกจากนี้เขายังมีช่วงปีที่ดีที่สุดเมื่อคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมยุโรป และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่ามาครองในปี 2000 และ 2001 ตามลำดับ ฟิโก้ เล่นอยู่กับ รีล มาดริด จนกระทั่งในปี 2005 เขาก็ย้ายไปเล่นในอิตาลีกับ อินเตอร์ มิลาน



2005-ปัจจุบัน : อินเตอร์ มิลาน

ในฤดูกาลแรก กับ อินเตอร์ มิลาน ฟิโก้ ลงสนามไปทั้งสิ้น 34 นัด และช่วยให้ทีมปิดฉากซีซั่น ด้วยการรั้งตำแหน่งอันดับ 3 ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อย่างไรก็ตาม ในเวลาถัดมา "งูใหญ่" ก็ถูกประกาศให้ความแชมป์ สคูเต็ตโต้ แทนที่ แชมป์ในปีนั้น อย่าง ยูเวนตุส  หลังพบว่า ทีม "ม้าลาย" ทำการตกแต่งผลการแข่งขัน และโดนปรับตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี เช่นเดียวกับ อันดับ 2 อย่าง เอซี มิลาน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงถูกตัดแต้ม 30 คะแนน

ในปี 2006-2007 ฟิโก้ ลงเล่นให้ อินเตอร์ ไป 32 นัด ทำได้ 2 ประตู แต่นั่นก็ดีพอที่จะช่วยให้ทีม ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ ได้อย่างยิ่งใหญ่แบบไร้ข้อกังขา ด้วยการทำแต้มทิ้งห่างทีมอันดับ 2 ชนิดไม่เห็นฝุ่น พร้อมกับทำสถิติชนะรวดติดต่อกันถึง 17 นัดอีกด้วย

ในเดือนธันวาคม 2006 ฟิโก้ ตกเป็นข่าวว่า อาจย้ายไปเล่นให้กับ ทีม อัล-อัตติฮัด ทีมดังของ ซาอุดิอาระเบีย โดยทั้งสองฝ่ายจ่อที่จะบรรลุข้อตกลงกันอยู่แล้ว แต่ในที่สุด ทุกอย่างก็ล้มเลิกกลางคัน เมื่อ ฟิโก้ เปลี่ยนใจที่จะยังคงค้าแข้งกับ อินเตอร์ ต่อไป จนหมดสัญญาในปี 2007-2008

เข้าสู่ฤดูกาลใหม่ ฟิโก้ ยังคงตกเป็นข่าวกับทีม อัล-อัตติฮัด เช่นเดิม แต่ทุกอย่างก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่จากรายงานล่าสุด ได้ออกมาระบุว่า ฟิโก้ เริ่มมีความสนใจที่จะย้ายไปค้าแข้งในเมเจอร์ลีกสหรัฐฯ หลังหมดสัญญากับทีม "งูใหญ่" ในวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 2008 อย่างไรก็ตาม ฟิโก้ ก็ได้ออกมาเผยว่า เขาจะยังคงฝากอนาคตอยู่กับ อินเตอร์ ต่อไป




ทีมชาติโปรตุึเกส (1991-2006)

กับทีมชาติโปรตุเกสนั้น นับตั้งแต่ถูกเรียกเข้าสู่ทีมด้วยวัยเพียง 19 ปี ฟิโก้ ก็กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมเรื่อยมา และนำทีมลงเล่นในทัวร์นาเมนต์สำคัญทั้งใน ยูโร 96, ยูโร 2000 จนมาถึงศึก ยูโร 2004 ซึ่งโปรตุเกสลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง

และในวัย 32 ปี ฟิโก้ ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับหน้าที่กัปตันทีม ก็นำทีมชาติโปรตุเกสฝ่าฟันกับแรงกดดันที่ต้องแบกรับไว้มากมายผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศได้ในที่สุด ทว่าความผิดหวังจากการพ่ายแพ้ต่อทีมชาติกรีซในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้ ฟิโก้ ตัดสินใจประกาศอำลาทีมชาติหลังการแข่งขันจบลง

หนึ่งปีหลังจากนั้น เมื่อ ฟิโก้ เริ่มไม่มีความสุขในการลงเล่นกับทีมต้นสังกัด (รีล มาดริด) ทำให้เขาหวนกลับมานึกถึงการรับใช้ชาติอีกครั้ง และในที่สุด หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ก็เรียกเขาคืนสู่ทีมชาติเพื่อช่วยทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ซึ่ง
เทรนเนอร์ชาวบราซิลให้ความเห็นว่านักเตะที่ยิ่งใหญ่อย่าง ฟิโก้ ไม่ได้มีดีแค่ฝีเท้าเท่านั้น แต่คุณสมบัติความเป็นผู้นำและประสบการณ์อื่นๆ ที่เขาจะมอบให้กับรุ่นน้องคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทีมชาติโปรตุเกสประสบความสำเร็จได้

และ ฟิโก้ ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลที่เฝ้ารอคอยผิดหวัง เขากลับมาช่วยให้ทีมผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปเล่นที่ฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมันได้ด้วยสถิติอันยอดเยี่ยม โดยในการกลับมาลงสนาม ทั้ง 8 นัดของเขานั้น ทีมฝอยทองคว้าชัยชนะได้ถึง 7 เกม เสมอไปเพียง 1 เกมเท่านั้น

ฟิโก้ สวมปลอกแขนกัปตันทีม นำทัพ โปรตุเกส ลงทำศึกฟุตบอลโลก 2006 และเขาก็มีส่วนสำคัญพาทีมผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนที่จะหยุดเส้นทางไว้แค่นั้น หลังจากพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส ไปอย่างน่าเสียดาย 0-1 และในรอบชิงที่ 3 ทีมก็ต้องไปพ่ายให้ักับ เยอรมัน 0-2 อย่างไรก็ตาม นี่ก็ถือเป็นผลงานที่ดีที่สุึดของโปรตุเกสในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ปี 1966 เลยทีเดียว

ขีวิตส่วนตัว

ฟิโก้ แต่งงานกับ เฮเลน สเวดิน นางแบบสาวชาวสวีดิช โดยทั้งคู่ พบกับที่ งานแสดงแฟนชั่นโชว์ที่ ฟลาเมงโก้ และตอนนี้ ทั้ง ฟิโก้ และ เฮเลน มีลูกสาวด้วยกัน 3 คน ได้แก่ ดาเนี่ยลลา (เกิด มีนาคม 1999), มาร์ติน่า (เกิดเมษายน 2002) และ สเตลล่า (เกิด 9 ธันวาคม 2004) อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังมีแผนที่จะปั้มลูกคนที่ 4 อีกด้วย

เกียรติยศที่เคยได้รับ

ระดับสโมสร

สปอร์ติ้ง ลิสบอน
คัพ ออฟ โปรตุเกส : 1995

บาร์เซโลน่า
ลา ลีกา : 1998,1999
โคปา เดล เรย์ :  1997, 1998
ซูเปอร์ โคปา เดอ เอสปันญ่า : 1996
ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ : 1997
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 1997
โคปปา คาตาลันยา : 2000

เรอัล มาดริด
ลา ลีกา : 2001, 2003
ซูเปอร์ โคปา เดอ เอสปันญ่า : 2001, 2003
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2002
อินเตอร์คอนทิวเน่นทัล คัพ : 2002
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 2002

อินเตอร์ มิลาน
กัลโช เซเรีย อา : 2006, 2007, 2008
โคปปา อิตาเลีย : 2006
อิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ : 2005, 2006, 2008

ทีมชาติโปรตุเกส
2006 FIFA World Cup: อันดับ 4
UEFA Euro 2004 : รองแชมป์
FIFA U-20 World Cup - 1989
FIFA U-20 World Cup - 1991

รางวัลส่วนตัว
ผู้เล่นชาวยุโรปยอดเยี่ยม 2000
ผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟีฟ่า : 2001, อันดับ 2 : 2000
 นักฟุตบอลโปรตุเกสยอดเยี่ยม : 1995, 1996, 1997, 1998, 1999, 2000
บอลทองคำ(ของชาวโปรตุเกส) : 1994
ติดยูฟ่าทีมออฟเดอะเยียร์ : 2003
ติดทีมออลสตาร์ฟุตบอลโลก : 2006

ที่มา:http://www.sport-idol.com/113/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B9%8C-%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89/

พริ้วไหวดั่งสายน้ำ



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=VcSGwsNDBfE