Pele
เปเล่ “ไข่มุกดำแห่งเมืองแซมบร้า” |
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : เเอ็ดสัน อารันเตส โด นาสซิเมนโต้
วันเกิด : 23 ตุลาคม 1940 (อายุ 67 ปี)
สถานที่เกิด : เตรส โคราซอส, บราซิล
ส่วนสูง : 1.74 เมตร (5 ฟุต 8 นิ้วครึ่ง)
ทีมชาติ : บราซิล (แขวนสตั๊ดแล้ว)
ตำแหน่ง : กองหน้า
ประวัติความเป็นมา
เอ็ดสัน อารันเตส โด นาสซิเมนโต้ หรือที่ทั่วโลกรู้จักในนามของ “ไข่มุกดำ”เปเล่ อดีตนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “โคตรบอล” ขนานแท้และยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ด้วย
คุณสมบัติของเปเล่ ล้วนเป็นที่ถวิลหาของโค้ชทุกทีมความสามารถเป็นที่ทั้งอยาก และยากจะเลียนแบบของนักเตะในทุกยุคทุกสมัย เล่นบอลได้ดีทั้งสองเท้าเข้าข่ายพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกของฟุตบอล ผ่านบอลแม่นราวจับวาง เป็นตัวจบสกอร์ที่เพอร์เฟกต์ เรียกได้ว่าเป็นกองหน้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโลกเลยทีเดียว
ด้านความเร็ว และความแข็งแกร่ง เปเล่ ไม่เคยเป็นสองรองใครแม้ยามครอบครองบอล ชีวิตประสบความสำเร็จจนแทบจะสำลัก 2 ประตูจากที่ตัวเองลั่นไกสังหารนั้นพา “แซมบ้า” บราซิล คว้าแชมป์โลกมาด้วย รวมแล้วเปเล่ ขึ้นรับถ้วยแชมป์ 3 สมัย แต่ เปเล่ รีไทร์ จากวงการตั้งแต่ปี 1977 หลังจากนั้นชีวิตก็มิได้ห่างหายจากวงการฟุตบอล ยังคงเป็นทูตให้กับวงการกีฬารับใช้สร้างประโยชน์ให้สังคมต่อไป
เริ่มต้นชีวิต
ชื่อจริงของ เปเล่ ถูกตั้งตามนักประดิษฐ์ของโลก โธมัส เอดิสัน แต่ไม่มีใครคิดจะตั้งชื่อเล่นให้ จนกระทั้งเข้าโรงเรียน เมื่อก่อน เปเล่ ไม่ค่อยจะชอบชื่อเล่นของตัวเองนัก แต่เหมือนว่ายิ่งตัวเองบ่นไม่ชอบมากแค่ใหน เพื่อนๆก็ยิ่งเรียกบ่อยมากเท่านั้น จากนั้นก็เคยชิน และขาดชื่อนี้ไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันนึง “เปเล่” จะเป็นชื่อที่คนทั่วโลกรู้จัก พร้อมขนานนามว่านี่คือ “God” ของวงการฟุตบอล เหมือนเป็นชื่อที่พระเจ้าประทานมาให้คู่กันจริงๆ
ก้าวสู่อาชีพค้าแข้ง
1956-1974 : ซานโต๊ส
เปเล่ เติบโตขึ้นมากับการเล่นฟุตบอลตามท้องถนนดินลูกรังในบ้านเกิด ไม่มีแม้กระทั่งถุงเท้าดังนั้นเรื่องรองเท้า ไม่ต้องฝันถึงกระทั่งลูกบอลที่จะใช้เตะยังมาจากกระดาดเอามาปั้นเป็นก้อนกลม หรือไม่ก็ลูกเกรฟฟรุ๊ต ลูกหนังลูกแรกที่เปเล่ ได้สัมผัสคือของขวัญวันเกิดครบ 6 ขวบจากเพื่อนร่วมทีมของคุณพ่อที่เป็นนักฟุตบอลชื่อ โซซ่า
พอวัยได้ 11 ปีเปเล่ ถูกนักเตะระดับตำนานของบราซิล อย่าง วัลเดมาร์ เดอ บริโต้ สังเกตุเห็นแววและชวนกันไปอยู่ทีมสมัครเล่นของ บริเตอร์ ต่อมาปี 1956 ผู้ดูแลได้พาไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ ซานโตส ซึ่ง เดอ บริเตอร์ การันตี ไว้ตั้งแต่อายุ 15 แล้วว่า เปเล่ จะก้าวขึ้นเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในอนาคตแน่นอน
เปเล่ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด เมื่อลงเล่นเกมลีกเกมแรกที่พบกับ โครินเธียนส์ เขาก็ยิงไปถึง 4 ประตู และต่อมาในฤดูกาล 1957 เปเล่ ก็ได้เป็นนักเตะตัวจริงของทีมชนิดถาวรด้วยวัยเพียง 16 ปี ก่อนที่จะกลายมาเป็นดาวยิงสูงสุดของลีกด้วยเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล และ หลังผ่านการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพได้ไม่เท่าไร เปเล่ นักเตะวัยรุ่นยามนั้น ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ บราซิล ทันที
หลังจากเสร็จศึกฟุตบอลโลก 1962 มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปสนใจที่จะคว้าตัวเปเล่ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ทางการบราซิล ก็ออกมาขัดขวางด้วยการประกาศว่า เปเล่ เป็นสมบัติของชาติ
ต่อมาในปี 1969 เปเล่ สามารถยิงประตูที่ 1,000 ให้กับตัวเองได้สำเร็จ ในเกมที่พบกับ วาสโกดากาม่า ณ สนาม มารากาน่า สเตเดียม ซึ่งประตูนั้นได้มาจากการยิงจุดโทษ และหลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ในบ้านเกิด ในที่สุด เปเล่ ก็ได้ตัดสินใจเดินทางไปหาประสบการณ์ค้าแข้งในบั้นปลายชีวิตยังต่างแดนครั้งแรก ในปี 1975
1975-1977 : นิวยอร์ก คอสโมส
ในปี 1975 เปเล่ ยุติชีวิตค้าแข้งเป็นเวลากว่า 20 ปี กับทีม ซานโต๊ส และตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมทีม นิวยอร์ค คอสโมส ในลีกทวีปอเมริกาเหนือ (เอ็นเอเอสแอล) โดยแม้ว่า เปเล่ จะผ่านช่วงสุดยอดของเขามาแล้ว แต่ยอดนักเตะชาวบราซิเลี่ยนผู้นี้ ก็ยังคงเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนในสหรัฐฯ ไม่น้อย นอกจากนี้ เขายังสามารถพาทีมต้นสังกัด คว้าแชมป์ลีกได้ในปี 1977 ในฤดูกาลค้าแข้งปีที่ 3 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายในชีวิตนักเตะอาชีพของเขา อีกด้วย
ทีมชาติบราซิล
เปเล่ ลงเล่นเกมทีมชาติบราซิลนัดแรก ในวันที่ 7 กรกฏาคม 1957 ซึ่งเป็นเกมที่พบกับ อาร์เจนติน่า และเขาก็ทำประตูได้ด้วย ต่อมา ในปี 1958 เปเล่ กลายเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดในโลกที่คว้าแชมป์โลก ด้วยวัยเพียง 17 ปีหลังเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เอาชนะ สวีเดน เจ้าตัวยิง 2 ประตูในนัดชิง ให้ แซมบ้า ชนะสวีเดน 5-2 ที่กรุงสต๊อคโฮล์ม จากนั้นก็เล่นเกมฟุตบอลโลกกับ บราซิล อีก 3 สมัยในปี 1962,1966 และ 1970 ซึ่งพาบราซิลคว้าแชมป์โลกอีก 2 ครั้งคือปี 1962 และ 1970
ในทัวร์นาเมนต์ปี 1962 และ 1966 เปเล่เจ็บปวดใจมากที่ไม่สามารถช่วยทีมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนหลังโดนนักเตะ เม็กซิโก เข้าบอลโหดใส่และทัวร์นาเมนต์ 1970 ที่เม็กซิโก คือทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของเปเล่ อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่ปี 1970 บราซิล นับว่ามีทีมที่ดีที่สุดในช่วงนั้นพอดีประกอบไปด้วยนักเตะดังๆระดับดาวอย่าง ริเวลิโน่,แจร์ซินโญ่ และ โตส์เตา ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดของบราซิล และพาแซมบ้าชนะ อิตาลี สำเร็จ 4-1 ในปีนั้น โดยเปเล่ ยิง 1 จ่าย 1 ให้กับ แจร์ซินโญ่ เป็นการคว้าแชมป์โลกที่น่าประทับใจที่สุดของบราซิล และในปี 1972 เปเล่ ตัดสินใจหันหลังให้กับทีมชาติบราซิล เป็นการถาวร
ชีวิตหลังแขวนสตั๊ด
หลังหันหลังให้กับชีวิตค้าแข้ง เปเล่ ก็ได้ไปทำหน้าที่งานฑูตให้กับหลายองค์กร โดยในปี 1992 เขาได้รับการแต่งตั้งจาก สหประชาชาติ ให้เป็นฑูตเกี่ยวกับระบบนิเวศ และ สิ่งแวดล้อม และต่อมาในปี 1995 เขาก็ได้รับเหรียญเกียรติยศเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์ในวงการกีฬาให้กับประเทศบราซิล รวมถึง เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่รัฐมนตรีพิเศษให้กับกระทรวงกีฬาบราซิล นอกจากนี้ องค์การยูเนสโก้ ก็ยังได้แต่งตั้งให้ เปเล่ เป็นฑูตพิเศษของ ยูเอ็น อีกด้วย
ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ร่างกฎหมายข้อบังคับเพื่อลดการคอร์รัปชั่นในวงการฟุตบอลบราซิล ซึ่งกลายมาเป็นที่รู้จักดีในชื่อว่า "กฏหมายของเปเล่" เขาก็ได้ตัดสินใจยุติบทบาทดีกล่าว ในปี 2001 หลังจากเขาถูกกล่าวหาว่ามีส่วนกับการคอร์รับชั่น อย่างไรก็ดี ในปี 1997 เปเล่ ได้รับรางวัลเกียรติยศ British knighthood จากสหราชอาณาจักร
ในปี 2002 เปเล่ เคยมารับจ๊อบเป็นแมวมองให้กับ ฟูแล่ม ทีมในพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ และในปี 2006 เขาก็ได้รับเลือกให้ไปเป็นผู้จับสลากแบ่งกลุ่มในรายการ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมัน เป็นเจ้าภาพ อีกด้วย นอกจากนี้ ชีวิตของ เปเล่ ยังได้ถูกนำไปเผยแพร่ยังสื่อต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์อย่าง หนังสือพิมพ์, แม็กกาซีน, นิตยสาร รวมถึง ในรายการโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ ต่างๆ อีกด้วย
เกียรติประวัติที่เคยได้รับ
ระดับสโมสร
ซานโต๊ส
Campeonato Paulista: 1958, 1960, 1961, 1962, 1964, 1965, 1967, 1968, 1969 and 1973
Torneio Rio-São Paulo: 1959, 1963 and 1964
Torneio Roberto Gomes Pedrosa (Taça de Prata): 1968
Taça Brasil: 1961, 1962, 1963, 1964 and 1965
Copa Libertadores: 1962 and 1963
Intercontinental Cup: 1962 and 1963
South-American Recopa: 1968
นิวยอร์ค คอสโมส
NASL Champions: 1977
ทีมชาติบราซิล
FIFA World Cup: 1958, 1962, 1970
Roca Cup: 1957, 1963
ระดับส่วนตัว
- Footballer of the Century : 2000
- Laureus World Sports Awards : 2000
- BBC Sports Personality of the Year Lifetime Achievement Award : 2005
"ตำนานไข่มุกดำ"
ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=8QEmnP48PEc