it's me

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Pele เปเล่ “ไข่มุกดำแห่งเมืองแซมบร้า”

Pele 

เปเล่ “ไข่มุกดำแห่งเมืองแซมบร้า”

ข้อมูลส่วนตัว 

ชื่อเต็ม : เเอ็ดสัน อารันเตส โด นาสซิเมนโต้
วันเกิด : 23 ตุลาคม 1940 (อายุ 67 ปี)
สถานที่เกิด : เตรส โคราซอส, บราซิล
ส่วนสูง : 1.74 เมตร (5 ฟุต 8 นิ้วครึ่ง)
ทีมชาติ : บราซิล (แขวนสตั๊ดแล้ว)
ตำแหน่ง : กองหน้า

ประวัติความเป็นมา

เอ็ดสัน อารันเตส โด นาสซิเมนโต้ หรือที่ทั่วโลกรู้จักในนามของ “ไข่มุกดำ”เปเล่ อดีตนักฟุตบอลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “โคตรบอล” ขนานแท้และยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในทุกยุคทุกสมัย ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ด้วย

คุณสมบัติของเปเล่ ล้วนเป็นที่ถวิลหาของโค้ชทุกทีมความสามารถเป็นที่ทั้งอยาก และยากจะเลียนแบบของนักเตะในทุกยุคทุกสมัย เล่นบอลได้ดีทั้งสองเท้าเข้าข่ายพรสวรรค์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกของฟุตบอล ผ่านบอลแม่นราวจับวาง เป็นตัวจบสกอร์ที่เพอร์เฟกต์ เรียกได้ว่าเป็นกองหน้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโลกเลยทีเดียว

ด้านความเร็ว และความแข็งแกร่ง เปเล่ ไม่เคยเป็นสองรองใครแม้ยามครอบครองบอล ชีวิตประสบความสำเร็จจนแทบจะสำลัก 2 ประตูจากที่ตัวเองลั่นไกสังหารนั้นพา “แซมบ้า” บราซิล คว้าแชมป์โลกมาด้วย รวมแล้วเปเล่ ขึ้นรับถ้วยแชมป์ 3 สมัย แต่ เปเล่ รีไทร์ จากวงการตั้งแต่ปี 1977 หลังจากนั้นชีวิตก็มิได้ห่างหายจากวงการฟุตบอล ยังคงเป็นทูตให้กับวงการกีฬารับใช้สร้างประโยชน์ให้สังคมต่อไป

เริ่มต้นชีวิต



ชื่อจริงของ เปเล่ ถูกตั้งตามนักประดิษฐ์ของโลก โธมัส เอดิสัน แต่ไม่มีใครคิดจะตั้งชื่อเล่นให้ จนกระทั้งเข้าโรงเรียน เมื่อก่อน เปเล่ ไม่ค่อยจะชอบชื่อเล่นของตัวเองนัก แต่เหมือนว่ายิ่งตัวเองบ่นไม่ชอบมากแค่ใหน เพื่อนๆก็ยิ่งเรียกบ่อยมากเท่านั้น จากนั้นก็เคยชิน และขาดชื่อนี้ไม่ได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าวันนึง “เปเล่” จะเป็นชื่อที่คนทั่วโลกรู้จัก พร้อมขนานนามว่านี่คือ “God” ของวงการฟุตบอล เหมือนเป็นชื่อที่พระเจ้าประทานมาให้คู่กันจริงๆ

ก้าวสู่อาชีพค้าแข้ง

1956-1974 : ซานโต๊ส



เปเล่ เติบโตขึ้นมากับการเล่นฟุตบอลตามท้องถนนดินลูกรังในบ้านเกิด ไม่มีแม้กระทั่งถุงเท้าดังนั้นเรื่องรองเท้า ไม่ต้องฝันถึงกระทั่งลูกบอลที่จะใช้เตะยังมาจากกระดาดเอามาปั้นเป็นก้อนกลม หรือไม่ก็ลูกเกรฟฟรุ๊ต ลูกหนังลูกแรกที่เปเล่ ได้สัมผัสคือของขวัญวันเกิดครบ 6 ขวบจากเพื่อนร่วมทีมของคุณพ่อที่เป็นนักฟุตบอลชื่อ โซซ่า

พอวัยได้ 11 ปีเปเล่ ถูกนักเตะระดับตำนานของบราซิล อย่าง วัลเดมาร์ เดอ บริโต้ สังเกตุเห็นแววและชวนกันไปอยู่ทีมสมัครเล่นของ บริเตอร์ ต่อมาปี 1956 ผู้ดูแลได้พาไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ ซานโตส ซึ่ง เดอ บริเตอร์ การันตี ไว้ตั้งแต่อายุ 15 แล้วว่า เปเล่ จะก้าวขึ้นเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในอนาคตแน่นอน

เปเล่ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด เมื่อลงเล่นเกมลีกเกมแรกที่พบกับ โครินเธียนส์ เขาก็ยิงไปถึง 4 ประตู และต่อมาในฤดูกาล 1957  เปเล่ ก็ได้เป็นนักเตะตัวจริงของทีมชนิดถาวรด้วยวัยเพียง 16 ปี ก่อนที่จะกลายมาเป็นดาวยิงสูงสุดของลีกด้วยเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล และ หลังผ่านการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพได้ไม่เท่าไร เปเล่ นักเตะวัยรุ่นยามนั้น ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ บราซิล ทันที

หลังจากเสร็จศึกฟุตบอลโลก 1962 มีหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปสนใจที่จะคว้าตัวเปเล่ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ทางการบราซิล ก็ออกมาขัดขวางด้วยการประกาศว่า เปเล่ เป็นสมบัติของชาติ

ต่อมาในปี 1969 เปเล่ สามารถยิงประตูที่ 1,000 ให้กับตัวเองได้สำเร็จ ในเกมที่พบกับ วาสโกดากาม่า ณ สนาม มารากาน่า สเตเดียม ซึ่งประตูนั้นได้มาจากการยิงจุดโทษ และหลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ในบ้านเกิด ในที่สุด เปเล่ ก็ได้ตัดสินใจเดินทางไปหาประสบการณ์ค้าแข้งในบั้นปลายชีวิตยังต่างแดนครั้งแรก ในปี 1975


1975-1977 : นิวยอร์ก คอสโมส

ในปี 1975 เปเล่ ยุติชีวิตค้าแข้งเป็นเวลากว่า 20 ปี กับทีม ซานโต๊ส และตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมทีม นิวยอร์ค คอสโมส ในลีกทวีปอเมริกาเหนือ (เอ็นเอเอสแอล) โดยแม้ว่า เปเล่ จะผ่านช่วงสุดยอดของเขามาแล้ว แต่ยอดนักเตะชาวบราซิเลี่ยนผู้นี้ ก็ยังคงเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนในสหรัฐฯ ไม่น้อย นอกจากนี้ เขายังสามารถพาทีมต้นสังกัด คว้าแชมป์ลีกได้ในปี 1977 ในฤดูกาลค้าแข้งปีที่ 3 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายในชีวิตนักเตะอาชีพของเขา อีกด้วย


ทีมชาติบราซิล



เปเล่ ลงเล่นเกมทีมชาติบราซิลนัดแรก ในวันที่ 7 กรกฏาคม 1957 ซึ่งเป็นเกมที่พบกับ อาร์เจนติน่า และเขาก็ทำประตูได้ด้วย ต่อมา ในปี 1958 เปเล่ กลายเป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดในโลกที่คว้าแชมป์โลก ด้วยวัยเพียง 17 ปีหลังเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่เอาชนะ สวีเดน เจ้าตัวยิง 2 ประตูในนัดชิง ให้ แซมบ้า ชนะสวีเดน 5-2 ที่กรุงสต๊อคโฮล์ม จากนั้นก็เล่นเกมฟุตบอลโลกกับ บราซิล อีก 3 สมัยในปี 1962,1966 และ 1970 ซึ่งพาบราซิลคว้าแชมป์โลกอีก 2 ครั้งคือปี 1962 และ 1970

ในทัวร์นาเมนต์ปี 1962 และ 1966 เปเล่เจ็บปวดใจมากที่ไม่สามารถช่วยทีมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนหลังโดนนักเตะ เม็กซิโก เข้าบอลโหดใส่และทัวร์นาเมนต์ 1970 ที่เม็กซิโก คือทัวร์นาเมนต์สุดท้ายของเปเล่ อย่างไรก็ตาม นับว่าโชคดีที่ปี 1970 บราซิล นับว่ามีทีมที่ดีที่สุดในช่วงนั้นพอดีประกอบไปด้วยนักเตะดังๆระดับดาวอย่าง ริเวลิโน่,แจร์ซินโญ่ และ โตส์เตา ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดของบราซิล และพาแซมบ้าชนะ อิตาลี สำเร็จ 4-1 ในปีนั้น โดยเปเล่ ยิง 1 จ่าย 1 ให้กับ แจร์ซินโญ่ เป็นการคว้าแชมป์โลกที่น่าประทับใจที่สุดของบราซิล และในปี 1972 เปเล่ ตัดสินใจหันหลังให้กับทีมชาติบราซิล เป็นการถาวร

ชีวิตหลังแขวนสตั๊ด



หลังหันหลังให้กับชีวิตค้าแข้ง เปเล่ ก็ได้ไปทำหน้าที่งานฑูตให้กับหลายองค์กร โดยในปี 1992 เขาได้รับการแต่งตั้งจาก สหประชาชาติ ให้เป็นฑูตเกี่ยวกับระบบนิเวศ และ สิ่งแวดล้อม และต่อมาในปี 1995 เขาก็ได้รับเหรียญเกียรติยศเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงและทำคุณประโยชน์ในวงการกีฬาให้กับประเทศบราซิล รวมถึง เขายังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่รัฐมนตรีพิเศษให้กับกระทรวงกีฬาบราซิล นอกจากนี้ องค์การยูเนสโก้ ก็ยังได้แต่งตั้งให้ เปเล่ เป็นฑูตพิเศษของ ยูเอ็น อีกด้วย

ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ร่างกฎหมายข้อบังคับเพื่อลดการคอร์รัปชั่นในวงการฟุตบอลบราซิล ซึ่งกลายมาเป็นที่รู้จักดีในชื่อว่า "กฏหมายของเปเล่" เขาก็ได้ตัดสินใจยุติบทบาทดีกล่าว ในปี 2001 หลังจากเขาถูกกล่าวหาว่ามีส่วนกับการคอร์รับชั่น อย่างไรก็ดี ในปี 1997 เปเล่ ได้รับรางวัลเกียรติยศ British knighthood จากสหราชอาณาจักร

ในปี 2002 เปเล่ เคยมารับจ๊อบเป็นแมวมองให้กับ ฟูแล่ม ทีมในพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ และในปี 2006 เขาก็ได้รับเลือกให้ไปเป็นผู้จับสลากแบ่งกลุ่มในรายการ ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมัน เป็นเจ้าภาพ อีกด้วย นอกจากนี้ ชีวิตของ เปเล่ ยังได้ถูกนำไปเผยแพร่ยังสื่อต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์อย่าง หนังสือพิมพ์, แม็กกาซีน, นิตยสาร รวมถึง ในรายการโทรทัศน์ และ ภาพยนตร์ ต่างๆ อีกด้วย  

เกียรติประวัติที่เคยได้รับ

ระดับสโมสร

ซานโต๊ส 
Campeonato Paulista: 1958, 1960, 1961, 1962, 1964, 1965, 1967, 1968, 1969 and 1973
Torneio Rio-São Paulo: 1959, 1963 and 1964
Torneio Roberto Gomes Pedrosa (Taça de Prata): 1968 
Taça Brasil: 1961, 1962, 1963, 1964 and 1965 
Copa Libertadores: 1962 and 1963 
Intercontinental Cup: 1962 and 1963 
South-American Recopa: 1968

นิวยอร์ค คอสโมส 
NASL Champions: 1977

ทีมชาติบราซิล 
FIFA World Cup: 1958, 1962, 1970 
Roca Cup: 1957, 1963

ระดับส่วนตัว

- Footballer of the Century : 2000
- Laureus World Sports Awards : 2000
- BBC Sports Personality of the Year Lifetime Achievement Award : 2005



"ตำนานไข่มุกดำ"



ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=8QEmnP48PEc


Diego Maradona ดีเอโก้ มาราโดน่า "ตำนานหัตถ์พระเจ้า"

Diego Maradona

ดีเอโก้ มาราโดน่า "ตำนานหัตถ์พระเจ้า"

แม้จะถูกมองว่าเป็นต้นแบบของความเป็นนักเตะเจ้าปัญหา แต่ ดีเอโก้ มาราโดนา ก็ได้รับการยอมรับอย่างเต็มใจจากแฟนบอลและคนในวงการว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดการ

มาราโดนา เกิดที่ วิลล่า ฟิออริโต้ อาจจะเป็นเพราะตัวเองเป็นลูกชายคนแรกของตระกูล อาการสปอย เอาแต่ใจนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้ว่าจะมีน้องชายเล็กๆตามมาอีกสองคนก็ตามที

พรสวรรค์ของ มาราโดนา เข้าตาแมวมองตั้งแต่เจ้าตัวยังไม่พ้นวัยเด็กๆที่ 10 ขวบขณะเล่นให้กับสโมสรในบ้านเกิดอย่าง เอสเตรลล่า โรย่า จากนั้นเหมือนชีวิตพลิกผัน ได้มาเล่นให้ทีมระดับจูเนียร์ ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ สโมสรดังของกรุงบัวโนส ไอเรส

กับเกมดิวิชั่น 1 อาร์เจนตินา แรกๆมาราโดนา เป็นเพียงเด็กเก็บบอลวิ่งอยู่ข้างสนาม พร้อมทั้งเอนเตอร์เทน เดาะบอลโชว์แฟนๆในช่วงพักครึ่งเกมการแข่งขัน

พออายุ 15 มาราโดนา ได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของ อาร์เจนติโนส จูเนียร์เป็นครั้งแรก และค้าแข้งด้วยระหว่างปี 1976 ถึง 1981 ก่อนจะย้ายมาสู่สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง โบคาจูเนียร์ ที่กลายเป็นแบรนด์ของเจ้าต้วจนถึงทุกวันนี้ตั้งแต่ปลายฤดูกาล 1981 คว้าแชมป์กับทีมสำเร็จตั้งแต่ปีแรก

มาราโดนา ได้ติดทีมชาติ ฟ้าขาวตั้งแต่อายุ 16 นัดเจอกับ ฮังการี และได้เข้าสัมผัสบรรยากาศฟุตบอลโลกรุ่นเยาวชน เมื่ออายุ 18 ปี ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ที่สร้างชื่อให้ตัวเองดังกระฉ่อนวงการในทัวร์นาเมนต์นี้ โดยเฉพาะเกมนัดชิงที่ชนะ สหภาพโซเวียต 3-1

ปี 1982 มาราโดนา ได้ลงเตะทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก ระดับซีเนียร์ ครั้งแรกโดยรอบแรก อาร์เจนตินา ชนะ ฮังการี และ เอล ซัลวาดอร์ ได้อย่างสบายเท้า ก่อนจะไปช็อคตกรอบในรอบ 2 หลังไม่สามารถผ่านด่านอรหันต์ บราซิล และ อิตาลี ไปได้

หลังจบทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก มาราโดนา ย้ายสังกัดซบ “เจ้าบุญทุ่มแห่งสเปน” บาร์เซโลนา ในปี 1983 ภายใต้การทำทีมของโค้ช เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ ที่พา บาร์ซ่า ซึ่งมีมาราโดนา เป็นกุญแจสำคัญขึ้นคว้าแชมป์ โคปา เดลเรย์ หลังเอาชนะคู่แค้นตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด

แม้เส้นทางเหมือนว่าดูแล้วน่าจะสวยงามสำหรับนักเตะอย่าง มาราโดนา ในถิ่นคัมป์ นู แต่เจ้าตัวกลับไม่ค่อยแฮปปี้ เท่าไรนักทั้งเรื่องอาการป่วย รวมถึงสไตล์การเล่นของบอลสเปนที่ค่อนข้างหนัก แม้โดนนักเตะคู่แข่งแท็กจนเจ็บยาว เกือบต้องแขวนสตั๊ดไปเหมือนกัน

หลังจากปัญหาต่างๆประดังเข้ามาเป็นว่าเล่นทางฝ่ายจัดการของ บาร์เซโลนา ก็ชักจะไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไรเช่นกัน เลยตัดสินใจปล่อยตัวนักเตะเจ้าปัญหารายนี้สู่ นาโปลิ ทีมในอิตาลี ที่มาราโดนา ไปเป็นผู้นำความสำเร็จสู่ทีมโดยแท้ คว้าแชมป์ลีก สองสมัย ,โคปา อิตาเลีย,ยูฟ่า คัพ และ อิตาเลียน ซูเปอร์คัพ นอกจากนี้ยังเป็นรองแชมป์ลีกอีก 2 สมัยด้วย

กับทีมชาติ มาราโดนา พาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกสำเร็จในปี 1986 จากการชนะเยอรมันตะวันตก 3-2 หลังจากตัวเองโชว์ฟอร์มโดดเด่นมาตลอดทัวร์นาเมนต์ ก็ได้รับการยกย่องจากทุกสารทิศว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของทัวร์นาเมนต์

และก็เป็นทัวร์นาเมนต์นี้ ที่มาราโดนา สร้างตำนาน “หัตถ์พระเจ้า” เอาไว้ด้วยในเกมกับอังกฤษรอบควอเตอร์ไฟนัล ที่ชูมือปัดลูกเข้าประตูเห็นๆ แต่ผู้ตัดสินให้เป็นประตูซะอย่างงั้น นับเป็นประตูที่โด่งดังมาก น้อยคนนักที่จะลืมเลือนประตูนี้ โดยเฉพาะแฟนๆทีม “สิ งโตคำราม” ที่โดนเขี่ยตกรอบไป

ปัจจุบัน มาราโดน่า ได้มีโอกาสผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีม ซึ่งประเดิมทีมแรกที่เขาคุมเลยก็คือ ทีมแมนดิยู ออฟ โครินเธียน และก็ทีม เรซซิ่ง คลับ แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก อย่างไรก็ดี มาราโดน่า ก็ยังได้รับความไว้วางใจอยู่ ล่าสุด เขาได้มีโอกาสคุมทีมชาติ อาร์เจนติน่า แต่ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก



เสือเตี้ย ดิเอโก้ มาราโดน่า




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=TlVfzOb_w9s&feature=fvst





Michel Platini “พ่อมดลูกหนัง” มิเชล พลาตินี


Michel Platini



“พ่อมดลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่



มิเชล พลาตินี่ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสผู้ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นบุคคลระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้ว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะมิดฟิลด์ที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในโลกของยุคเดียวกัน

พลาตินี่ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ นองซี่-ลอร์เรน ก่อนจะย้ายสู่ทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง แซงต์ เอเตียง ที่ซึ่งมาประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ ลีก สูงสุดเมื่อปี 1981

ปี 1982 ก้าวใหม่ของชีวิตที่ท้าทายกว่าเดิมเริ่มมาถึงเมื่อได้ย้ายไปหาประสบการณ์กับสโมสรในอิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรชั้นนำอย่าง ยูเวนตุส แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อจากการลงเล่น 147 เกม พลาตินี่ กระทุ้งประตูไป 68 ตุง ซึ่งจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ถือว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา

ไม่เท่านั้น พ่อมดแห่งวงการลูกหนังรายนี้ยังนำโด่งเป็นดาวซัลโวของ เซเรีย อา ถึง 3 สมัยซ้อน พลาตินี่ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งให้ม้าลายแห่งตูริน สคูเด็ตโต้,แชมป์ อิตาเลียน คัพ,ยูโรเปี้ยน คัพ และ คัพ วินเนอร์สคัพ

พลาตินี่ ได้รับมอบหมายเป็นกัปตันทีมชาติ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ลุยศึก ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนคัพ เมื่อปี 1984 และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยตำแหน่งดาวซัลโวด้วยที่ 9 ประตู

นอกจากจี๊ดจ๊าดในตำแหน่งมิดฟิลด์แล้วการผ่านบอล ป้อนบอลของ พลาตินี่ ยังได้รับการยอมรับว่าเยี่ยมยอดอีกด้วย รวมถึงการยิงประตูที่หาได้ไม่มากนักจากนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ แล้วเป็นดาวยิงแบบนี้

เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานนักเตะอังกฤษ ได้กล่าวถึง พลาตินี่ ไว้ว่า “เขาจบสกอร์ได้คมมากๆแม้จะมีช่องอยู่นิดเดียวเท่ารูเข็มก็ตาม”

ในด้านการปั่นฟรีคิก ถ้าให้เทียบกับสมัยนี้ เดวิด เบ็คแฮม ยังอายเลยทีเดียว พลาตินี่ สามารถปั่นบอลให้โค้งหนีกำแพงและหนีมือผู้รักษาประตูได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งการซ้อมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษใช้หุ่นตั้งเป็นแถวเหมือนกับที่คนอื่นทำกัน

พลาตินี่เคยได้รับเลือกเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) ถึง 3 สมัยติดต่อกันด้วยในปี 1983,84 และ 85

พลาตินี่ แขวนสตั๊ดเมื่อปี  1987 โดยเล่นให้ยูเวนตุส เป็นทีมสุดท้าย

ปัจจุบัน พลาตินี่ ดำรงตำแหน่ง ประธานยูฟ่า โดยมาแทนที่ เซป แบล็ดเตอร์ ประธานคนก่อน เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2007 หลังจากเคยเข้าชิงเมื่อปี 2006 มาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้รับเลือก






ที่มา:http://www.sport-idol.com/99/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A5-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%88/

พ่อมดลูกหนัง




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=QgzwRMtVpgo



Lothar Matthaus "เขาคือนักเตะที่เป็นแม่แบบ"


Lothar Matthaus 



"เขาคือนักเตะที่เป็นแม่แบบ"



ทีมชาติ : เยอรมันนี
วันเกิด : 21 มีนาคม ค.ศ. 1961
สูง : 174 เซนติเมตร
หนัก : 71 กิโลกรัม
ตำแหน่ง : กองกลาง/กองหลัง
สโมสร : โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค (1979 - 84)
            บาเยิร์น มิวนิค (1984 - 88)
            อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี/1988 - 92)
            บาเยิร์น มิวนิค (1992 - มีนาคม 2000)
            นิวยอร์ค - นิว เจอร์ซี่ เมโทรสตาร์ (อเมริกา/พฤษภาคม - กันยายน 2000)
ติดทีมชาติ : 150 นัด (1980-2000 - สถิติยุโรป)
ยิงประตูในทีมชาติ : 23 ลูก
เล่นทีมชาตินัดแรก : 14/06/1980, เยอรมันนี - ฮอลแลนด์ (3-2)
เล่นทีมชาตินัดล่าสุด : 20/06/2000, เยอรมันนี - โปรตุเกส (0-3)
ยิงประตูในทีมชาตินัดแรก : 30/04/1985, เยอรมันนี - สาธารณรัฐเชคโกสโลวาเกีย (5-1)
ยิงประตูในทีมชาตินัดล่าสุด : 28/07/1999, เยอรมันนี - นิวซีแลนด์ (2-0)
เกียรติประวัติกับทีมชาติ
- แชมป์ฟุตบอลโลก 1990, รอบสุดท้าย (1982, 1986), รอบ 4 ทีมสุดท้าย (1994, 1998), 25 นัด (สถิติ), 6 ประตู
- แชมป์ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยน ชิพ 1980, รอบสองทีมสุดท้าย 1988, รอบแรก 1984, 2000, 11 นัด, 1 ประตู
เกียรติประวัติกับสโมสร
ชนะเลิศ
- แชมเปี้ยน ลีค รอบสุดท้าย 1987, 1999
- ยูฟ่า คัพ 1991, 1996, รอบสุดท้าย 1980
- เยอรมัน แชมเปี้ยน ชิพ 1985, 1986, 1987, 1994, 1997, 1999
- เยอรมัน คัพ 1986, 1998
- เยอรมัน ลีค คัพ 1997, 1998, 1999
- เยอรมัน ซุปเปอร์ คัพ 1987
- อิตาเลียน แชมเปี้ยน ชิพ  1989
- อิตาเลียน ซุปเปอร์ คัพ 1989
เกียรติประวัติส่วนตัว
- รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป 1990
- รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมัน 1990, 1999
- รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า 1990, 1991
อาชีพโค้ชสโมสร
- สโมสร ราปิด เวียนนา (ออสเตรีย/กันยายน 2001 - พฤษภาคม 2002)
- สโมสร ปาร์ติซาน เบลเกรด (เซอร์เบีย และ มอนเตรเนโกร/ธันวาคม 2002 - ธันวาคม 2003)- สโมสร อัตเลติโก พาราเนนเซ่ (บราซิล/กุมภาพันธ์ - มีนาคม 2006)
- สโมสร ซัลซ์บวร์ก - ผู้ช่วยโค้ช (ออสเตรีย/มิถุนายน 2006 - มิถุนายน 2007)
     • สถิติกับปาร์ติซาน เบลเกรด
         - เซอร์เบีย และ มอนเตรเนโกร แชมเปี้ยน ชิพ (2003)
อาชีพโค้ชทีมชาติ
- ฮังการี (มากราคม 2004 - ธันวาคม 2006)
- มัคคาบี้ เนตันย่า (อิสราเอล/มิถุนายน 2008 - เมษายน 2009)
     • สถิติกับฮังการี: 16 นัด, ชนะ 7 นัด, เสมอ 2 นัด, แพ้ 7 นัด, 21 ประตู, ป้องกันได้ 25 ประตู
ประวัติ
ไม่มีใครที่จะลืม กองกลางทีมชาติเยอรมันคนนี้ เขาคือ โลธ่าร์ มัทเธอุส นักเตะที่ถูกบันทึกไว้ว่า ลุยศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย มาแล้วถึง 5 ครั้ง เขาต้องอกหักในรอบชิงของปี 1982 และ1986 ทว่าในปี 1990 เขาคือกัปตันที่ได้ถูถ้วยแชมป์โลก
เขาคือนักเตะที่เป็นแม่แบบ เป็นนักฟุตบอลที่ไม่รู้จักย่อท้อ เขาลงสนามในนามทีมชาติไปถึง 150 นัด ค้าแข้งให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ถึง 12 ปี กับ อินเตอร์ มิลาน อีก 4 ปี แถมยังคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปในปี 1990 คว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ในปี 1990 และ 1991
กับการเล่นให้ บาเยิร์น มิวนิค ถึง 2 ครั้ง เขากวาดแชมป์ลีก ไปได้ถึง 6 สมัย ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังกับการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ถึง 2 ครั้ง โดยเฉพาะในป 1999 กับแมตช์ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อเขาพา บาเยิร์น มิวนิค พ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปแบบช็อกโลก 1-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
มัทเธอุส ยังคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ กับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 1996 ซึ่งก่อนหน้านั้น เขาก็พา อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์ในรายการนี้ ในปี 1991 มาแล้ว และเขายังช่วยให้ อินเตอร์ เป็นแชมป์ลีกอิตาลี ในปี 1989 ด้วย
ในศึกฟุตบอลโลก ปี 1990 มัทเธอุส ได้สร้างความแตกต่างให้กับทีมชาติเยอรมัน เมื่อเขานำเอาเทคนิค และวิธีการเล่นจากลีกอิตาลี มาประยุกต์ใช้กับทีมชาติ

กับการค้าแข้งถึง 2 ซีซั่น กับ อินเตอร์ มิลาน มัทเธอุส ได้พัฒนาฝีเท้าไปแบบรุดหน้า เขากลายเป็นมิดฟิลด์ระดับโลกที่มีครบ ทั้งลูกยิง การวางบอล การจ่ายบอล รวมถึงการอ่านเกม ที่ยอดเยี่ยม
ฟร้านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ กุนซือทีมชาติเยอรมัน ในเวลานั้น มองเห็นว่าเขาจะต้องพาทีมประสบความสไเร็จอย่างแน่อน และเขาก็ถูกเลือกให้เป็นกัปตันทีม ในศึกบอลโลก ที่อิตาลี
ทว่าแต่ละเกมที่ลงเล่น มัทเธอุส กลับไม่ได้รับการไว้วางใจ หรือยอมรับนับถือจากเพื่อนร่วมทีมเท่าที่ควร ในตำแหน่งกัปตันทีม
ในรอบชิงชนะเลิศ มัทเธอุส เขาไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ กับการเล่นกับ อาร์เจนตินา ทว่าเยอรมัน ก็สามารถเบียดเอาชนะได้ แต่ไม่มีใครที่จะภูมิใจ หรือดีใจ ที่เขากลายเป็นผู้ชูถ่วยพร้อมกับ เบ็คเคนบาวเออร์ ทว่า ถ้ายกแชมป์ก็มาอยู่ในมือเขา และเขาก็ทำภารกิจสำเร็จลุล่วง

มัทเธอุส กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง ในปี 1998 การจากเรียกตัวของ แบร์ตี้ โฟกท์ส กุนซือของทีมในขณะนั้น แต่ทว่าเยอรมัน ก็ตกตกรอบ จอดป้ายที่รอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อพ่าย โครเอเชีย 0-3
มัทเธอุส ติดทีมชาติเยอรมัน นัดสุดท้าย ในศึกยูโร 2000 โยทีมชาติเยอรมัน ไม่สามารผ่านรอบแรกไปได้ เขาหยุดสถิติกับทีมชาติไว้ที่ 150 นัด หลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในสหรัฐอเมริกา กับทีม นิวยอร์ค - นิว เจอร์ซี่ เมโทรสตาร์
มัทเธอุส เริ่มต้นการเป็นกุนซือ ในเดือนกันยายน ปี 2001 กับทีม ราปิด เวียนนา ในออสเตรเลีย ทว่าเขากลับทีมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะโยกไปคุม ปาร์ติซาน เบลเกรด ในประเทศเซอร์เบีย และเขาก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรก ในปี 2003
เขาลาออกจาก ปาร์ติซาน เบลเกรด ในเดือนธันวาคม ปี 2003 เพื่อไปรับตำแหน่งโต้ชทีมชาติฮังการี ทว่าหลังจากไม่สามารถพาทีมผ่านเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2006 ได้ เขาก็ได้ย้ายไปคุมทีม แอตเลติโก พาราเนเซ่น ก่อนที่จะย้อนกลับมายัง ยุโรป อีกครั้ง ด้วยการเป็นผู้ช่วยโค้ชของทีม ซัลซ์บวร์ก และหลังจากนั้นเขาก็ไปคุมทัพ มัคคาบี้ เนตันย่า ในลีกอิสราเอล ในปี 2008-2009

ที่มา:
http://sport.sanook.com/football2010/players/%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%AA/ 


นักเตะหัวสมองกล




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=v8RNjpMYysE




Macro Van Basten มาร์โก แวน บาสเท่น ” เพชรฆาตพรายกระซิบ”


 Macro Van Basten
มาร์โก แวน บาสเท่น ” เพชรฆาตพรายกระซิบ”




มาร์โก แวน บาสเท่น ” เพชรฆาตพรายกระซิบ”


มาร์โก แวน บาสเท่น Macro Van Basten- ดาวยิงเจ้าของรางวัล บัลลงดอร์ปี 1988,1989,1992

ถ้าจะเอ่ย ถึงตำแหน่งกองหน้าที่เก่งๆในฟุตบอลโลกซักคน คงจะต้องมีชื่อเขา คนนี้แน่นอน มาร์โก แวน บาสเท่น ยอดศูนย์หน้าชื่อก้องโลกของทีมชาติฮอลแลนด์ แวน บาสเท่น เกิดเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ปี 1964 ที่เมืองอูเทร็คท์ และ ได้เริ่มเข้าร่วมทีมอาแจ็กซ์ จากทีมสมัครเล่นอีลิงค์วิก ในปี 1981 ด้วยพรสวรรค์และความเก่งเกินวัยทำให้เขาพุ่งขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ ของอาแจ๊กซ์เมื่ออายุเพียง 17 ปี โดยเป็นตัวสำรองแทน “นักเตะเทวดา” อย่าง โยฮัน ครัฟฟ์

แวน บาสเท่น ถูกจับตามองอย่างมากเมื่อเขาติดทีมฮอลแลนด์ ชุดเยาวชนโลกที่เม็กซิโก เมื่อปี 1983 ซึ่งตัวเขาเองสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม

ผลงานในสโมสรอาแจ๊กซ์ ของแวน บาสเท่น ไม่ธรรดาเลย เมื่อยิงประตู ได้ทั้งสิ้น 128 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่เฉลี่ยแล้วเกือบยิงทุกนัดที่ลงสนาม ความเป็นดาวซัลโวที่ฉายแสงอย่างสุดยอดของเขาในทีมอาแจ๊กซ์ ทำให้สโมสรขาย วิฟ เคี้ยฟ ดาราเท้าทองแห่งยุโรปในปี 1982 ออกจากทีมไปในปี 1983

แวน บาสเท่น ยังสำแดงเดช ยิงประตูให้อาแจ๊กซ์เป็นว่าเล่น จนสามารถนำทีมคว้าแชมป์คัพวินเนอร์คัพ มาครองได้ในปี 1987 และในปีนั้นแวน บาสเท่น กดไปถึง 31 ประตู ด้วยผลงนอันยอดเยี่ยมนี่เอง ทำให้ ทีมปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน มาซื้อตัวเขาในราคา 1.5 ล้านปอนด์ ( ประมาณ 80 ล้านบาท) โดยต้องแย่งกับสโมสรชั้นนำของยุโรป อย่าง บาร์เซโรน่า,โรม่า,แวร์เดอ เบรเมน ซึ่งทำให้เอซี มิลาน แข็งแกร่ง และก้าวขึ้นไปเป็นยอดทีมในยุคนั้นทันที

สำหรับผลงานในระดับชาติ แวน บาสเท่น สร้างชื่อของเขาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในปี 1988 ที่ประเทศเยอรมันตะวันตก ซึ่งช่วงแรกๆ เขาต้องเล่นเป็นแค่ตัวสำรอง แต่หลังจากนัดแรก แวน บาสเท่น ได้กลับมาเล่นเป็นตัวจริงและยิงได้ถึง 5 ประตู รวมถึงประตูดับเจ้าภาพเยอรมันในรอบตัดเชือกและลูกสุดสวยกับทีมชาติรัสเซีย ในนัดชิงชนะเลิศ และพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1988 ด้วย

ส่วนฟุตบอลโลกสำหรับแวน บาสเท่น ในปี 1990 ที่ประเทศอิตาลี ตอนนั้น ฮอลแลนด์ ไปในฐานะทีมแชม์ยุโรปและตัวเต็งอันดับ ต้นๆ แต่ต้องเจองานหนักตั้งแต่รอบแรกอยู่ร่วมสาย กับ อียิปต์,ไอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งฮอลแลนด์สร้างผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบสอง ไปเจอกับเยอรมันตะวันตก ซึ่งถือเป็นการล้างตาจากฟุตบอลยูโร 88 ซึ่งคราวนี้ ทีมของแวน บาสเท่น ต้องแพ้ไป 1-2 ทำให้ต้องตกรอบอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นแวน บาสเท่น พาทีมเอซี มิลาน คว้าแชมป์เป็นว่าเล่นไม่ว่า แชมป์กัลโช่ เซเรียอา,แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ,แชมป์สโมสรโลก ฯลฯ และตัวเขาเองยังคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยในปี 1988,1989 และ 1992 และนักเตะยอดเยี่ยมของโลก ในปี 1992 เช่นกัน

แต่หลังจากนั้น โชคชะตา จะเล่นตลกกับ แวน บาสเท่น เมื่อมีปัญหาอาการบาดเจ็บ เล่นงานเรื้อรังไม่ว่าจะผ่าตัดกี่ครั้ง แต่แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีก แม้ฟุตบอลโลกในปี 1994 แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถฟิตทันได้ และแวน บาสเท่น ทนอาการบาดเจ็บไม่ไหว จนต้องประกาศแขวน สตั๊ดด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น

แม้ว่า ผลงานในฟุตบอลโลกของแวน บาสเท่น จะมีแค่ในฟุตบอลโลก ปี 1990 แค่ครั้งเดียว แต่ชื่อของเขา ยังเป็นที่รู้จักในวงการลูกหนังโลกและได้รับการยกย่องว่า เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดของโลก ที่เคยมีมาอีกด้วย ปัจจุบัน แวน บาสเท่น กำลังจะกลับเข้าสู่ฟุตบอลโลกอีกครั้งที่ประเทศเยอรมันในปี 2006 แต่มาคราวนี้ เขามาในฐานะกุนซือทีมชาติฮอลแลนด์ ซึ่งพลพรรค อัศวินสีส้มได้รับการคาดหมายว่าเป็นทีมตัวเต็งอันดับต้นๆด้วยถึงกาลเวลาจะผ่านไปแค่ไหน แต่คงไม่มีใครลืมผลงานถล่มประตูอันสุดยอดของ ยอดศูนย์หน้าระดับโลกในตำนาน อย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น คนนี้ได้อย่างแน่นอน


ที่มา:
http://www.tlcthai.com/football/381/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%81-%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%99-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%86/

 ” เพชรฆาตพรายกระซิบ”




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=0Da2ADkkEGs


Michael Owen "ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น หนูน้องมหัศจรรย์"

Michael Owen

"ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น หนูน้องมหัศจรรย์"

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น
วันเกิด : 14 ธันวาคม ปี 1979 
สถานที่เกิด : เชสเตอร์ เชสเชียร์ อังกฤษ
ส่วนสูง :  5 ฟุต 8 นิ้ว (1.73 เมตร)
สโมสร : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ตำแหน่ง : กองหน้า
เบอร์เสื้อ : 10

ไมเคิ่ล โอเว่น มีชื่อเต็มว่า ไมเคิ่ล เจมส์ โอเว่น เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปี 1979 ที่เมืองเชสเตอร์ เชสเชียร์ เป็นบุตรชายของ เทอร์รี่ โอเว่น อดีตนักฟุตบอลของเอฟเวอร์ตัน และในวัยเด็กโอเว่น ก็เป็นแฟนบอลของเอฟเวอร์ตัน โดยมี แกรี่ ลินิเกอร์ เป็นนักเตะในดวงใจ แต่สุดท้ายเขากลับมาสร้างชื่อในวงการลูกหนังด้วยการเป็นนักเตะขวัญใจของแฟนบอลลิเวอร์พูล ทีมคู่ปรับร่วมตัวฉกาจของเอฟเวอร์ตัน ไปในที่สุด

เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอล

โอเว่น เริ่มเส้นทางสายลูกหนังตามความประสงค์ของผู้เป็นพ่อ ที่นำตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนรายนี้ ไปฝากฝังไว้กับผู้จัดการทีมระดับเยาวชนที่ชื่อ “โมล์ด อเล็กซานดร้า” ในตอนที่เจ้าหนูโอเว่น อยู่ในวัย 10 ขวบ

แม้ว่าจะมีรูปร่างเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน แต่ โอเว่น ก็มีพรสวรรค์ที่เด็กคนอื่นๆไม่มีกัน จนทำให้เขาเป็นนักเตะดาวเด่นของทีม โดยนอกจากจะเล่นให้กับ “โมล์ด อเล็กซานด้า”แล้ว โอเว่น ยังเป็นตัวโรงเรียน ลงเล่นให้กับทีมโรงเรียนประถมของเขา ในฮาวาร์เด้น ประเทศเวลส์ และยิงประตูได้แบบระเบิดเถิดเทิง

หลังจากนั้น โอเว่น ย้ายมาเรียนระดับมัธยมที่ ฮาวาร์เด้น ไฮสคูล และก็ยังลงเล่นให้กับทีมโรงเรียนเช่นเดิม ขณะที่บรรดาสโมสรดังๆของพรีเมียร์ลีก ที่ได้ยินกิตติศัพท์ความร้ายกาจในเชิงลูกหนังของเขา ก็พยายามมาชักชวน โอเว่น ไปร่วมทีมเยาวชนของตนเอง แต่ทางโรงเรียนของเขา ไม่อนุญาตให้นักเรียนที่อายุยังน้อยมาก เซ็นสัญญากับทีมใด

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล หนึ่งในทีมดังที่ต้องการตัว โอเว่น ก็ยื่นมือเข้ามาชี้แนะให้ โอเว่น ไปฝึกฝนวิชาด้านฟุตบอลเพิ่มเติมที่โรงเรียนสอนฟุตบอลของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ที่ลีลล์แชลล์ เมืองสแตฟฟอร์ดเชียร์ ในตอนที่เขาอายุ 14ปี ขณะที่ก็ยังเรียนวิชาสามัญทั่วไปที่ ฮาวาร์เด้น ไฮสคูล

หลังจากที่ประคบประหงม กล่อมเกลา โอเว่น มาจนถึงในวัย 16 ปี ที่สามารถเซ็นสัญญาเข้าทีมเยาวชนของสโมสรได้แล้ว และจบการฝึกจากโรงเรียนลูกหนังของเอฟเอ แล้ว ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็คว้าตัว โอเว่น ไปร่วมทีมได้สำเร็จ ตัดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี และ อาร์เซน่อล

ชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ



1996-2004 : ลิเวอร์พูล

ภายหลังจากที่ โอเว่น มาร่วมทีมเยาวชนของลิเวอร์พูล เขาก็ช่วยพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ในปี 1996 มาครองได้ และอีก 4 เดือนต่อมาเขาก็เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีม “หงส์แดง” หลังจากที่อายุครบรอบ 17 ปี ไปได้ไม่นาน

โอเว่น ลงสนามให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรก ในนัดที่พบกับ วิมเบิลดัน ในเดือนพฤษภาคมปี 1997 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาจากม้านั่งสำรอง และก็ลงมาทำประตูได้ตั้งแต่นัดนั้น

จากการที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ดาวยิงอันดับหนึ่งของลิเวอร์พูล ในตอนนั้น ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ โอเว่น ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงให้กับลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 1997/1998 และเขาก็ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนทำให้บรรดา “เดอะ ค็อป” ลืม ฟาวเลอร์ ไปเลย โดยในฤดูกาลนั้น โอเว่น ทำได้ 18 ประตู เป็นดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีก ร่วมกับ คริส ซัตตัน และ ดิออน ดับลิน และได้รับตำแหน่งนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของอังกฤษ

ในปี 2001 โอเว่น ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เมื่อช่วยพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ คือ ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ โดยใน เอฟเอ คัพ โอเว่น ช่วยยิง 2 ประตูทำให้ “หงส์แดง” พลิกแซงกลับมาเอาชนะ อาร์เซน่อล ไปได้ และในตอนสิ้นปีเขายังได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลงดอร์ มาครอง โดยเป็นนักเตะในสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 20 ปี ที่คว้ารางวัลนี้มาครองได้

หลังจากอยู่รับใช้ ลิเวอร์พูล มานาน โอเว่น ก็อยากไปแสวงหาความท้าทายใหม่ๆให้กับอาชีพค้าแข้ง เนื่องจากที่ ลิเวอร์พูล เขายังไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยเหตุนี้ ลิเวอร์พูล จึงขายเขาไปให้กับ รีล มาดริด ทีมมหาอำนาจของสเปน ในวันที่ 13 สิงหาคม ปี 2004 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ และ รีล มาดริด ต้องแถม อันโตนิโอ นูนเยซ มาให้ ลิเวอร์พูล อีกด้วย



2004-2005 : เรอัล มาดริด

ดูเหมือนว่าชีวิตค้าแข้งในทีมรวมดาราโลกอย่าง รีล มาดริด ไม่สวยงามเท่าใดนัก เมื่อเขาต้องนั่งเป็นตัวสำรองของ โรนัลโด้ และ ราอูล กอนซาเลซ โดยได้ลงสนามไป 36 นัด ในทุกรายการ ทำได้ 13 ประตู โดยส่วนใหญ่เขาจะถูกส่งลงมาในฐานะตัวสำรอง แต่ก็อุตส่าห์ทำประตูได้เสมอๆ ทั้งที่มีเวลาในสนามไม่มาก

แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้ อนาคตของโอเว่น ในซานติอาโก้ เบอร์นาบิว สดใสขึ้น หลังจากที่สโมสรไปคว้า โรบินโญ่ และ อันโตนิโอ คาสซาโน่ เข้ามาอีก ทำให้ โอเว่น ต้องย้ายกลับมาเล่นในอังกฤษ อีกครั้ง โดยมี นิวคาสเซิ่ล ยื่นเงินสูงเป็นสถิติสูงสุดของสโมสร 17 ล้านปอนด์ คว้า โอเว่น ไปร่วมทีม



2005-2008 : นิวคาสเซิ่ล

ความหวังที่จะกลับมาแจ้งเกิดให้ได้อีกครั้งของโอเว่นต้องมีอันเจออุปสรรคก้อนโต เมื่อเขาโดนอาการบาดเจ็บรบกวนอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่กำลังทำผลงานได้ดี ยิงประตูให้กับนิวคาสเซิ่ล ได้เรื่อยๆ แทบทุกนัดที่ลงสนาม แต่ทุกๆ คนก็ยังมั่นใจในตัวเขาอยู่ และในที่สุด เขาก็หายเจ็บกลับมาโชว์ฟอร์มยิงประตูให้ทีมได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม โอเว่น ก็ต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอีกจนได้ โดยครั้งนี้ เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดเลยทีเดียว

แม้จะเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2 ของตนเอง แต่อาการบาดเจ็บยังคงรุมเร้าชีวิตค้าแข้งในถิ่น เซนต์ เจมส์ พาร์ค ของ โอเว่น อยู่ต่อไป จนส่งผลให้เขาไม่สามารถระเบิดฟอร์มยิงประตูให้ทีมได้มากนัก อย่างไรก็ตาม ในที่สุด โอเว่น ก็สามารถจัดการยิงประตูให้ทีม "สาลิกา" ได้อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของซีซั่น จนมีส่วนสำคัญช่วยให้ทีมรอดพ้นจากโซนหนีตกชั้นได้สำเร็จ ส่งให้จบปีนี้ โอเว่น ทำประตูได้ ทั้งหมด 11 ลูก และเป็นนักเตะที่ยิงประตูมากสุดเป็นอันดับ ที่ 13 ของศึกพรีเมียร์ชิพ อังกฤษ

เข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 เกิดเรื่องแย่ๆกับเขามากมาย เขาลงเล่นให้กับทีมได้ 31 นัด ยิงได้ 10 ลูกเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะระบบทีมที่ไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำผลงานได้ดี สภาพทีมที่แย่มากส่งผลให้ต้นสังกัดของโอเว่นตกชั้น !!! โอเว่นคิดหาทีมใหม่อยู่ทันทีที่ปิดฤดูกาล แต่ไม่ยักจะมีใครมีต้องการตัวเขาจริงๆจังๆ เอเย่นต์ส่วนตัวถึงกับต้องแจกใบปลิวบรรยายสรรพคุณพิษสงของโอเว่น 23 รูปแบบให้กับทีมต่างๆ และในที่สุดก็......



2009- ปัจจุบัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

และแล้ว การย้ายกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ของโอเว่น ก็ประสบความสำเร็จ และทีมที่ซื้อตัวเขาไปก็คือทีมคู่อริทีมแจ้งเกิดของเขาอย่าง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" นั่นเอง

ทีมชาติอังกฤษ

สำหรับเส้นทางในทีมชาติอังกฤษ นั้น โอเว่น โด่งดังมาตั้งแต่ในการลงเล่นในทีมชุดเยาวชนของ “สิงโตคำราม” ก่อนที่จะลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในนัดที่แพ้ ชิลี ในเกมอุ่นเครื่อง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1998

หลังจากนั้น โอเว่น มาทำประตูแรกให้กับทีมชาติอังกฤษ ได้สำเร็จ ในนัดอุ่นเครื่องกับ โมร็อกโก จนเป็นเจ้าของสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ทีม “สิงโตคำราม” ได้ ก่อนจะมาโดน เวย์น รูนี่ย์ ทำลายสถิตินี้ลงได้

โอเว่น ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1998 ที่ฝรั่งเศส ด้วย แม้ว่าจะไปฐานะตัวสำรอง แต่เขาก็สามารถสร้างความประทับใจได้ด้วยการลงไปยิงประตู โรมาเนีย ในรอบแรก นัดที่สอง ก่อนจะมาโชว์ความสามารถเฉพาะตัวอันยอดเยี่ยมลากบอลจากระยะเกือบครึ่งสนามไปยิงประตู อาร์เจนติน่า ได้ในการลงเตะ รอบสอง แม้ว่า อังกฤษ จะพ่ายแพ้ตกรอบไปในที่สุด แต่ประตูของ โอเว่น ก็ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดประตูหนึ่งในการแข่งขัน

หลังจากนั้น โอเว่น ก็ค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ ไปในที่สุด และทุกคนฝากความหวังในการทำประตูเอาไว้ที่เขา โดยที่ โอเว่น ก็ร่วมทีมอังกฤษ ลงทำศึกรายการสำคัญมาโดยตลอด ทั้ง ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ปี 2000 และ 2004 และ ฟุตบอลโลก ปี 2002 แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยพาอังกฤษ คว้าแชมป์มาครองได้ซักที

ในศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน โอเว่น ไม่สามารถทำประตูในทัวร์นาเม้นต์ดังกล่าวได้เลย แถมยังต้องได้รับบาดเจ็บเอ็นหัวเข่าฉีกอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนทำให้ฟอร์มการเล่นของเขาไม่เฉียบขาดเหมือนเดิม และหลังจากที่ต้องหยุดพักรักษาตัวเป็นเวลานาน โอเว่น ก็กลับคืนสู่ทีมชาติอังกฤษ โดยเริ่มจาก ชุดบี ก่อนที่จะมีชื่อติดทีมชุดใหญ่ได้อีกครั้ง

ในวันที่ 11 ธันวาคม ปี 2007 โอเว่น ติดทีม "สิงโตคำราม" ครบ 88 นัด และทำได้ 40 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่ทำให้เขาก็นักเตะที่ยิงประตูให้ทีมชาติอังกฤษมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ตามหลัง เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน (49 ประตู), แกรี่ ลินิเกอร์ (48 ประตู) และ จิมมี่ เกรฟส์ (44 ประตู) อย่างไรก็ตาม ด้วยฟอร์มที่ดร็อปลงไป ก็ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า โอเว่น ยังเหมาะที่จะเป็นดาวยิงเบอร์ 1 ของทีมชาติต่อไปหรือไม่ เนื่องจาก มีผู้เล่นดาวรุ่งที่โชว์ฟอร์มได้ดีขึ้นมา ไม่่ว่าจะเป็น เวย์น รูนี่ย์ และ ธีโอ วัลค็อตต์ 

ชีวิตส่วนตัว

-โอเว่น ได้หมั้นกับ หลุึยส์ บอนซัลล์ แฟนสาวชาวอังกฤษ ซึ่งคบหาดูใจกันตั้งแต่ปี 1984 ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2004 ก่อนที่จะแต่งงานกันในวันที่ 24 มิถุนายน 2005 ที่ โรงแรม คาร์เดน พาร์ค ในเชสเตอร์, เชสเชียร์ ประเทศ อังกฤษ และทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน โดยเป็นผู้หญิง 2 คน ชื่อว่า แกมม่า โรส (เกิด 1 พฤษภาคม 2003), อีมิลี่ เมย์ (เกิด 29 ตุลาคม 2007) และ ลูกชาย  1 คน ชื่อว่า เจมส์ ไมเคิ่ล (เกิด 6 กุมภาพันธ์ 2006)

- โอเว่น เป็นเจ้าของรถยนต์สุดหรูหลายคัน และ เฮลิค็อปเตอร์ 1 ลำ สำหรับงานอดิเรกที่เขามักทำในเวลาว่างนั้น ได้แก่ การแข่งม้า และการพนันขันต่อเสี่ยงโชคต่างๆ

เกียรติประวัติที่เคยได้รับ

ระดับสโมสร

ลิเวอร์พูล 
แชมป์ 
1995–96 เอฟเอ ยูธ คัพ
2000–01 ลีก คัพ 
2000–01 เอฟเอ คัพ 
2000–01 ยูฟ่า คัพ 
2001–02 ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 
2001–02 แชริตี้ ชีลด์ 
2002–03 ลีก คัพ
รองแชมป์
2001–02 พรีเมียร์ลีก 
2002–03 แชริตี้ ชีลด์

เรอัล มาดริด 
รองแชมป์ 
2004–05 ลา ลีกา

ระดับส่วนตัว
1998 นักเตะดาวรุ่ง พีเอฟเอ 
1998 ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก, 18 ลูก 
1998 รางวัลชีวิตส่วนตัวดีเด่น จากบีบีซี สปอร์ต 
1998 นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 
1999 ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก, 18 ลูก 
2001 ผู้เล่นยอดเยี่ยมระดับโลกแห่งปี 
2001 บัลลงดอร์




มหัศจรรย์จริงๆ




ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=nr21lk8ujbA



George Best "จอร์จ เบสต์ ปีกพ่อมด"

George Best

"จอร์จ เบสต์  ปีกพ่อมด"

วันเกิด 22 พฤษภาคม 1946 
สถานที่เกิด เบลฟาสต์, ไอร์แลนด์ 
สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, สต๊อคพอร์ท, คร๊อค เซลติก, ลอส แองเจลิส อัสเตคส์, ฟูแล่ม, ลอส แองเจลิส อัสเตคส์, ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส, ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์, ฮิเบอร์เนียน, ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส, ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์, บอร์นมัธ, บริสเบน ไลออน 
ความสำเร็จ ติดทีมชาติไอร์แลนด์, แชมป์ดิวิชั่น1(แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ), นักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป 


นักเตะเจ้าของฉายาปีกพ่อมด และเทพบุตรมหาภัย เขาเป็นอัจฉริยะลูกหนังคนหนึ่งของวงการฟุตบอล เป็นตำนานนักเตะหมายเลข 7 ของแมนฯยูฯ เป็นผู้เล่นชั้นยอดอีกคนหนึ่งที่ยังไม่เคยสัมผัสเกมฟุตบอลโลก 

เริ่มต้นชีวิตการค้าแข้งด้วยการมาทดสอบฝีเท้ากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 1961 โดยเริ่มเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร ลงเล่นในตำแหน่งปีก ซึ่งในสมัยนั้นผู้เล่นตำแหน่งปีกจะเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากสำหรับทีม 

ในปี 1963 ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดใหญ่นัดแรกในเกมพบฟูแล่ม ด้วยวัย 17 ปี ในเดือนกันยายน และหลังจากเล่นให้แมนฯ ยูฯ ได้เพียง 15 เกมก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติ 

เป็นนักเตะที่พาทีมแมนฯ ยูฯ คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ในฤดูกาล 1964-1965 และ 1966-1967 (แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ) 

ในปี 1968 พาทีมแมนยูขึ้นเถลิงบรรลังค์แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพภายใต้การคุมทีมของเซอร์แมทต์ บัสบี้ ด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า โดย ในเวลาปกติเสมออยู่ 1-1 และต่อเวลาพิเศษ แมนยูยิงได้อีก 3 ลูก โดยจอร์จ เบสต์เป็นผู้ทำประตูด้วย ในนาทีที่ 93 นับเป็นค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตการเล่นฟุตบอลของเขาอย่างมาก 

ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าว และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปในปี 1968 

จอร์จ เบสต์ เคยสร้างสถิติยิงประตูในนัดเดียวมากที่สุดถึง 6 ประตู ในการถล่ม นอร์ทแธมป์ตัน ทาวน์ 8-2 ในเกมเอฟเอคัพ รอบ 5 

ในปี 1972 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 26 ปี แต่แล้วในปี 1973 ก็กลับมาค้าแข้งอีกครั้ง แต่ด้วยความเป็นเพลย์บอยของเขาทำให้ในที่สุดแมนฯ ยูฯก็ตัดสินใจขายเขาทิ้งในปี 1974 

ตั้งแต่ปี 1975-1980 เขาแต่งงานกับนางแบบสาว แองเจลล่า แมคโดนัลด์ เจมส์ และย้ายออกจากแมนฯ ยูฯ ไปค้าแข้งกับทีมเล็ก ๆ อีกหลายทีม และไปแขวนสตั๊ดอีกครั้ง ในเมเจอร์ลีกของ อเมริกา ชื่อ ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ 

แต่แล้วในปี 1983 เขาก็หวนกลับมาเล่นฟุตบอลอีกครั้ง กับทีม บอร์นมัธ แต่ลงเล่นอีกไม่นาน เขาก็ย้ายไปเล่นให้ทีมเล็ก ๆ อย่าง บริสเบน ไลออน และ ตัดสินใจ แขวนสตั๊ดถาวรในปี 1984 ด้วยวัย 38 ปี 

ส่วนหนึ่งที่เบสต์ ตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลหลายครั้ง เนื่องจากหมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการดื่มเหล้าเคล้านารี เที่ยวกลางคืน และหลงอยู่ในแสงสีของวงการบันเทิง แต่ถึงแม้จะยุติชีวิตนักเตะ เบสต์ก็ยังอยู่ในวงการฟุตบอล โดยทำหน้าที่เป็นนักวิเคราะห์ของสำนักข่าวให้กับสกายสปอร์ต 

ในปี 1984 ถูกศาลตัดสินจำคุก 12 สัปดาห์ในข้อหาเมาแล้วขับรวมถึงทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และถูกภรรยาแองเจลล่า ฟ้องหย่า หลังจากมีลูกชายด้วยกัน 1 คนคือ คาลัม 

ในปี 1995 แต่งงานอีกครั้งกับ อเล็ก เพอร์ซี่ ซึ่งเป็นแอร์ โฮสเตส สาวสวย ซึ่งต่อมาภายหลังก็ต้องแยกทางกัน เพราะภรรรยาของเขาทนไม่ไหว กับการที่ เบสต์ กลับไปดื่มเหล้าจัด และมีคดีความมากมาย ทั้งเมาสุราอาละวาด เมาแล้วขับ และทะเลาะวิวาท 

ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ Hall of Fame หรือหอเกียรติยศของ FIFA ในปี 2004 

ด้วยความเป็นนักดื่มตัวยงที่สุดผลร้ายก็ย้อนคืนสู่สุขภาพของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2000 เบสต์ มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ จนกระทั่งต้องเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไตในปี 2002 และถูกสั่งห้ามไม่ให้แตะของมึนเมาอีกแต่เจ้าตัวก็ยังไม่เชื่อฟังแอบดื่มเรื่อยมา 

ในช่วง 2-3 ปีหลังสุขภาพของเบสต์ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ทำให้เข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งครั้งล่าสุด เบสต์ ถูกส่งเข้ารับการรักษาตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนตุลาคม48 ที่โรงพยาบาลครอมเวลล์ กรุงลอนดอน แต่ในที่สุดคณะแพทย์ก็ไม่สามารถยื้อชีวิต เบสต์ เอาไว้ได้เขาจากไปด้วยอาการปอดติดเชื้อ และผลกระทบจากโรคไต 

จบชีวิตปิดฉากตำนานเทพบุตรมหาภัย ด้วย วัย 59 ปี ในวันที่ 25 พฤศจิการยน 2005 

สรุปเส้นทางการค้าแข้ง 
1963-74 : อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ลงเล่น 465 เกม ยิง 180 ประตู) 
1975 : อยู่กับ สต๊อคพอร์ท (ลงเล่น 3 เกม ยิง 2 ประตู) 
1975-76 : คร๊อค เซลติก (ลงเล่น 3 ยิงไม่ได้เลย) 
1976 : ลอส แองเจลิส อัสเตคส์ (ลงเล่น 24 เกม ยิง 15 ประตู) 
1976-77 : ฟูแล่ม (ลงเล่น 47 เกม ยิง 10 ประตู) 
1977-78 : ลอส แองเจลิส อัสเตคส์ (ลงเล่น 37 เกม ยิง 14 ประตู) 
1979 : ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส (14 เกม ยิง 5 ประตู) 
1979-80 : ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ (30 เกม ยิง 13 ประตู) 
1979-80 : ฮิเบอร์เนียน (22 เกม ยิง 3 ประตู) 
1980 : ฟอร์ท เลาเดอร์ดัล สไตร์เกอร์ส (19 เกม ยิง 2 ประตู) 
1981 : ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควคส์ (26 เกม ยิง 8 ประตู) 
1983 : บอร์นมัธ (5 เกม ยิง 0) 
1984 : บริสเบน ไลออน (4 เกม ยิง 0) 


นักเตะระดับตำนานของโลก





ที่มา:http://www.youtube.com/watch?v=qs6WTt7atic